วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Crimson Peak (●’Д’●)!



Love is blind
ความรักทำให้คนตาบอด


จ่อคิวมาติดๆกับ Crimson Peak ปราสาทสีเลือด โดยส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบดูหนังผีค่ะ ยิ่งถ้าให้ไปดูคนเดียวยิ่งหัวหด แต่ด้วยอะไรดลใจไม่รู้จริงๆ ถึงได้นำพาตัวเองไปดูเรื่องนี้แบบคนเดียวแล้วรอบหนึ่งทุ่มด้วยค่ะ โอ้มายก๊อด! สงสัยความแฟนเกิร์ดพี่ทอมจะเข้าสิงให้ดิฉันทำตัวแบบนี้ ความติ่งนี่มันจริงๆเหลยยยย!

สำหรับเรื่องนี้ ไม่มีอะไรมาก ตูดพี่ทอมพีคสุดแล้วค่ะ! ʘ) ฮ่าๆ ย้อเย้นนนน! แต่ไหนๆก็มาซะขนาดนี้ ขอใส่กิฟเป็นส่วนปลากรอบหน่อยเถอะ (ต้องใส่เรทไหม 18+งี้ เออออออ!)


Credit : http://themuse.jezebel.com



คำเตือน : มีสปอยนะตัวเอง

เอาดีๆล่ะ โอเค! สำหรับ Crimson Peak ในตัวบทของเรื่อง บอกเลยว่าพล๊อตตลาด หาอ่านได้ตามแผงหนังสือ เหมือนนิยายรักที่ใส่ผีเข้าไปเป็นส่วนประกอบ เหมือนกับที่อีดิธ นางเอกของเรื่องพูดเอาไว้ว่า ผีเป็นแค่อุปมาอุปมัย ซึ่งเราว่าคนเขียนบทคงพยายามจะบอกเราว่า เออ! หนังเรื่องนี้อย่าคาดหวังว่าผีจะมีบทบาทเยอะอะไรเลยหล่อน แค่ออกมาชี้นู่นชี้นี่ก็พอแย๊ะ เออออออออ.. ประมาณเช่นนี้แล (คิดไปเองอีกแล้ว555555555555)
เราไม่ค่อยเป็นคอหนังแนว Horror ซักเท่าไหร่ แต่สำหรับหนังสือแล้วเราอ่านแนวๆเหนือธรรมชาติแบบนี้บ่อย เราก็เลยขอชมเรื่องนี้นิดหนึ่งที่ทำให้เราหวนนึกกลับไปถึงสมัยตอนอ่านหนังสือเรื่อง Immanuel's Veins เป็นนวนิยายที่องค์ประกอบคล้ายๆกับหนังเรื่องนี้ ความคลาสสิกแบบแนวโกธิกผนวกกับความหลอนที่ไม่ได้สั่นประสาทเหมือนหนังผีแนวผลุบๆโผล่ๆตุ้งแช่ไปเรื่อย ถือว่าเป็นความหลอนแบบระดับกลางๆ ที่คนขี้กลัวอย่างเราสามารถดูได้แบบนั่งอโลนอยู่กลางแถว G ณ โรงหนังสกาล่าได้
ในตัวเรื่องนั้น ที่บอกว่าพล๊อตตลาด ส่วนหนึ่งคือเราสามารถเดาเนื้อเรื่องได้ และก็คิดอยู่แล้วว่าตั้งแต่ต้นเรื่องน่ะ คุณลูซิลล์ ชาร์ป (เจสสิก้า แคสเทียล) พีสาวของคุณโธมัส ชาร์ป (ทอม ฮิดเดิลสตัน) เขาไม่ธรรมดา คือคิดว่าการแสดงของเจสสิก้านี่บอกตั้งแต่ฉากแรกที่เธอปรากฏตัวมาอยู่แล้วว่า เธอมีลับลมคมนัยอะไรซักอย่าง มันก็พอจะผูกปมได้ แล้วเนื้อเรื่องก็เลยดูน่าติดตามมากยิ่งขึ้น แต่เอาจริงๆก็พอจะเดาได้จากช่วงต้นๆเรื่องแล้วว่าคุณสองพี่น้องนี้เขาไม่ได้มีรีเรชั่นชิปแบบพี่น้องธรรมดาแน่นแน่! แล้วพอเฉลยปมเราก็แทบจะลุกขึ้นแล้วตะโกนออกมาว่า เห็นไหม!นึกไว้แล้วเชียว! วุ้ย!
ในความตัวละครเรื่องนี้ เราบอกได้คำเดียวว่า นางเอกของเรื่องเหมาะกับวาทกรรมที่ว่า ความรักทำให้คนตาบอดเราพยายามที่จะสวมตัวเองลงบทบาทของสาวน้อยผู้คลั่งรักอย่างอีดิธนะ แต่เราก็ทำไม่ได้จริงๆ คือถ้านึกถึงหลักความเป็นจริง เห็นบ้านแบบผุพัง แมลงตายเกลื่อนกลาดอยู่หน้ากระจกขนาดนั้น แถมมีเงาแว๊บๆเดินผ่านไปผ่านมาตั้งแต่วันแรกที่เข้าบ้าน ถามจริง มันจะมีใครกล้าอยู่หรอ เออ เราก็เลยคิดว่า ความรักมันทำให้คนตาบอดจริงๆนั่นล่ะ โถ่ แม่คุณจ๋า

ถ้าเราให้คะแนนความติ่งและฟินแบบแฟนเกิร์ดพี่ทอมแล้ว เราขอให้เต็มสิบเลยละกัน เราชอบ ฮ่าๆ แต่ก็ไม่ได้ไง เราต้องวางตัวเดินทางสายกลาง ไม่โอนเอียงต่อสิ่งใด (แม้ตูดพี่ทอมจะกระชากใจเราไปแล้วก็ตาม) เราขอให้คะแนนอยู่ที่ 7/10 ค่ะ ฉากสวยนะ แต่เนื้อเรื่องเดาง่ายไปนิด พีคไม่สุดอย่างที่คิด ปมเหมือนจะถอดแบบลวกๆ เหมือนเหตุและผลยังไม่ค่อยสอดคล้องกันอยู่ (หรือคิดไปเองอีกแล้วก็ไม่รู้) แต่เอาเถอะ บอกแล้วความเป็นติ่งให้อภัยได้หมด ฮ่าๆ


ปล. เมื่อวานได้ไปดู The Little Prince รอบ Sneak Preview ของ Amarin TV มา เดี๋ยวจะมารีวิวเอ็นทรี่หน้าละกัน



วันนี้ขอลาแต่เพียงเท่านี้ค่ะ บัยยยยย ( ´ ▽ ` )


วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Think a happy thought! - PAN, 2015


Just think of happy things, and your heart will fly on wings,
forever, in Never Never Land!
― J.M. Barrie, Peter Pan: Fairy Tales


            คิดถึงสิ่งที่เราสุขใจ ประโยคนี้ได้ถูกกล่าวเอาไว้ในปีเตอร์แพนฉบับการ์ตูนของวอล์ทดิสนีย์ เชื่อว่าหลายๆคนคงจำประโยคนี้กันได้ มันปรากฏอยู่ในฉากก่อนที่ปีเตอร์จะพาเวนดี้บินไปยังเนเวอร์แลนด์! Yeah! ต้องบอกก่อนเลยว่า ปีเตอร์แพนเป็นวรรณกรรมเยาวชนอมตะที่กล่าวขึ้นมาน้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก วรรณกรรมเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นโดย J.M. Barrie (เจ. เอ็ม. แบร์รี่) นักเขียนชาวสก็อตแลนด์ ซึ่งแท้จริงแล้ว ปีเตอร์แพนนั้น ถูกปรากฏอยู่ในวรรณกรรมเรื่อง The Little White Bird ซึ่งเป็นวรรณกรรมของผู้ใหญ่ แต่หลังจากนั้นได้ทำเรื่องแยกเรื่องออกมาในช่วงปี 1906 โดยมีชื่อเรื่องว่า Peter Pan in Kensington Gardens นั่นเอง แต่หลังจากนั้นได้มีการทำละครเวทีช่วงปี 1904 ในกรุงลอนดอน โดยใช้ชื่อว่า Peter Pan หรือ The Boy Who Wouldn't Grow Up และต่อมาในปี 1911 ได้ถูกดัดแปลงเป็นวรรณกรรมที่ชื่อว่า “Peter and Wendy” และโด่งดันจนมาถึงปัจจุบันนี้เอง (อ้างอิง : https://en.wikipedia.org/wiki/Peter_Pan )

            ในประเทศไทยเราเองนั้นก็ได้แปลเรื่องปีเตอร์แพนหลากหลายสำนักมาก ซึ่งอันนี้ไม่ทราบจริงๆว่าสำนักพิมพ์ไหนได้เป็นผู้ริเริ่มนำเข้ามาเป็นสำนักแรก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วหากใครอยากอ่านฉบับแปลจากต้นฉบับของแบร์รี่แล้ว ขอแนะนำหนังสือจากสำนักพิมพ์ สร้างสรรค์บุ๊คส์เรื่อง ปีเตอร์ แพน (ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2546) แต่ว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่วันก่อน ได้เข้าร้านหนังสือก็ได้เจอกับหนังสือของสำนักพิมพ์ แพรวเยาวชนซึ่งนำมาแปลใหม่ ก็หาซื้อกันได้เนอะ หากใครอยากอ่านกัน


            เอาล่ะ ! มาเข้าเรื่องกันดีกว่า เมื่ออาทิตย์ก่อน ได้มีโอกาสไปดูเรื่อง PAN มา! ตื่นตาตื่นใจมากเลยทีเดียว ตื่นเต้นด้วย เนื่องจากโดดงานไปดู (จุ๊ๆ) เรื่องนี้ขอจัดเข้าเป็นอีกหนึ่งเรื่องโปรดเลยละกัน โดยส่วนตัวคือชอบ ชอบความแฟนตาซี ชอบซาวด์ประกอบ ชอบเพลงที่มันทำให้รู้สึกฮึกเหิม  แม้เราจะรู้สึกขัดใจกับเนื้อเรื่องที่มันหลวมไปหน่อยก็ตาม ตัดต่อไม่เนียนไม่สมกับเป็นหนังฟอร์มยักษ์เลย แต่โดยรวมคือชอบนะ ชอบมากด้วย ทว่านี้ขอยกความดีความชอบให้กับ ฮิวจ์ แจ๊คแมน ที่แต่งเป็นแบล็คเบียร์ด ซะจนเราจำไม่ได้เลยว่านี่คือวูฟเวอรีนจริงๆหรือ ถือว่าเด็ดที่ตัวละครอีกหนึ่งตัวเลยละกัน และที่ขาดไม่ได้เลยคือตัวเด่นของเรา ปีเตอร์ไม่ทราบนามสกุล เด็กกำพร้าผู้ค้นพบว่าตัวเองบินได้หลังถูกจระเข้ฟาดหางไปหนึ่งที (สปอยซะงั้น)
ในเรื่อง PAN นี้ เป็นเรื่องเล่าก่อนหน้าจะมาเป็น PETER PAN โดยเป็นการเล่าถึงที่มาของตัวเด็กผู้ชายที่ชื่อ ปีเตอร์ซึ่งเป็นเด็กกำพร้าอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็ก ณ กรุงลอนดอน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เด็ก ยังไงก็คือเด็ก ในหนังเราจะเห็นได้เลยว่า ตัวของปีเตอร์ ถ้าเทียบกับเด็กทั่วๆไปแล้ว เราจะเรียกเด็กประเภทนี้ว่า เด็กแสบหรือง่ายๆ ไอ้เด็กเกรียนนั่นล่ะ เป็นพวกช่างสงสัย นอกกรอบ และความที่มันเป็นเด็กแสบแบบนี้นี่เอง จึงทำให้เราได้รู้ว่า เด็กคนนี้มันไม่ใช่เด็กธรรมดา และความไม่ธรรมดามันนำไปสู่เนื้อเรื่องราวที่เชื่อมโยงต่อไปได้ ความช่างสงสัย ความสอดรู้ นำไปสู่การค้นพบอะไรใหม่ๆที่ทำให้ชีวิตของปีเตอร์เปลี่ยนไปในคืนหนึ่ง และนำไปสู่ดินแดนที่ชื่อว่า

“NEVER LAND”

            ขอยกย่องอีกหนึ่งอย่างในหนังเรื่องนี้ คือเส้นทางก่อนไปสู่ดินแดน Never Land เป็นอะไรที่เหมาะกับวาทะที่ว่า ผจญภัยเหนือจินตนาการ มากเลย มันต่างจากที่เราเคยคิด ที่เราเคยดู! แบบว่า เห้ย! สุดยอดเลยน่ะ และนี่คือ ภาพปลากรอบ เครดิตภาพงามๆอยู่ใต้ภาพแล้วค่ะนายทั่น ;_;

credit : wastinghours from tumblr
สำหรับเรื่องนี้แล้ว ขอให้คะแนน 8/10 คั๊บป๋ม! ขอตัดไปสองคะแนน คือหนึ่ง ในส่วนของการตัดต่อ และสองในส่วนของเนื้อเรื่อง ส่วนตัวคิดว่าเนื้อเรื่องยังเหมือนขาดอะไรไปอยู่ เหมือนจะสุดแต่ก็ยังไม่สุด มันเหมือนน๊อตที่ยังไขไม่แน่น มันยังหลวมๆอยู่ ก็ยังไม่แน่ใจว่าผกก.เขาอยากให้เราอุดช่องว่างนั้นเองหรือเปล่า หรืออะไรเราก็ไม่แน่ใจ อะไรที่ทำให้ปีเตอร์แพนบินได้ ความเชื่อแบบที่ไทเกอร์ลิลลี่บอกงั้นหรอ หรือเพราะประโยคที่ว่า ‘Think a happy thought!’ ที่แบล็คเบียร์ดกล่าวไว้ ที่คิดว่าประโยคนี้มีส่วนเกี่ยวนั้นขออ้างอิงจากประโยคด้านบนของเอ็นทรี่นี้เลย ‘Just think of happy things, and your heart will fly on wings, forever, in Never Never Land!’ อ่าห๊ะ! คิดถึงสิ่งที่เราสุขใจไงเล่า ก็เลยสงสัยอยู่สองประเด็นนี้ว่า สรุปบินได้เพราะอะไร ความเชื่อในตัวเอง หรือ คิดถึงสิ่งที่เราสุขใจ อืมมมมมมมมมมใครรู้เฉลยให้หายสงสัยทีค่ะ ฮ่าๆๆ

โอเค ขอจบเอ็นทรี่นี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ ได้โอกาสฤทธิ์งามยามดีนานๆทีจะมาอัพ ฮ่า
ไว้เจอกันเอ็นทรี่หน้าค่ะ /กราบบบบบบบบบบบบบ



ปล. ไม่ได้พูดถึงฮุคเลย เราชอบการ์เรตเฮดลันด์เล่นมากเลย ฮีกวนประสาทดี เยิฟ <3 แล้วเรายังชอบคำพูดขอฮุค ที่บอกว่า การโกหกเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่เราเลยคิดว่าประโยคนี้อาจจะเป็นตัวบัลดาลให้ปีเตอร์ไม่อยากโตเป็นผู้ใหญ่ และติดอยู่ในเนเวอร์แลนด์ตลอดกาลก็ได้ ฮุวะฮ่าฮ่า!

ไปจริงๆล่ะ บัย :)