วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

{review} เก็บตกงานหนังสือมอนอประเทศ.

เย้! วันนี้มาอัพบล็อกแบบไม่มีอะไรจริงจังค่ะ แค่อยากรีวิวหนังสือที่ได้มาจากงานหนังสือที่มอตัวเอง
พอดีเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา หรืออาทิตย์ที่แล้วเนี่ย เป็นช่วงงานมหกรรมหนังสือที่มอเราจัดขึ้น
แล้วด้วยอันเหตุตัวเองไม่สามารถที่จะกลับบ้านไปงานหนังสือที่กรุงเทพฯได้ ผนวกกับความต้องการ
หนังสือจนเข้าเส้น งานนี้เลยจัดแบบเบาๆให้พอให้อยาก เพราะกะจะรองานหนังสือปีหน้า หุหุ

ในงานครั้งนี้สาบานได้ว่ายั้งใจตัวเองแบบสุดๆแล้ว เพราะจะเก็บเงินไว้รอปีหน้าจริงๆ  เลยหมดไปเบาๆ
แบบว่าไม่ถึงสองพัน เห้! ซึ่งเป็นอะไรที่มหัศจรรย์สำหรับตัวเองมาก ถ้าเทียบกับเมื่อปีที่ผ่านๆมานี่สองพัน
คือขั้นต่ำ เอาแบบผมนี่แทบจะติดแฮชแท็กกูร้องไห้ทำไมอ่ะ ไม่พอแถมให้อีกอัน พ่อแม่ด่ากูทำไมด้วยเลย!
เอาเถอะ ! ไหนๆก็ไหนๆล่ะ มาเริ่มกันเลย

 
 
งานหนังสือครั้งนี้ก็ได้มาทั้งหมด อันที่เห็นในรูปนั่นล่ะ มีแค่เท่านั้นเอง (*m*)ตอนนี้ยังอ่านไม่หมดหรอกค่ะ
ถ้าอ่านหมดผ่านในอาทิตย์เดียวนี่ก็ไม่น่าใช่ฉัน ฮ่าๆ แต่มีเล่มหนึ่งที่รู้สึกอยากแนะนำ เป็นอะไรที่เร็คคอมเม็นด์เลย
คือหนังสือเล่มเหลืองๆ ในรูปนั่นเห็นมั้ย? อ่าห๊ะ ! มันชื่อหนังสือเรื่อง TROLL WAY ทางสายเกรียน
โดยส่วนตัวตอนแรกไม่คิดอะไรกับหนังสือเล่มนี้เลย แต่พอเดินไปบูธของ OpenWorlds เจ้าของร้านแนะนำเล่มนี้มา
เราก็เลยลองพลิกซ้ายพลิกขวา แล้วดูชื่อคนเขียน โอ้ว! “สฤณี อาชวานินสกุลก็เลยหยิบเล่มนี้แบบไม่รีรอเลย
ใครคุ้นๆกับหนังสือเรื่อง วิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอนบ้าง อ่าห๊ะ! คนนี้นี่ล่ะค่ะเป็นคนเขียน
แล้วก็ใครเคยอ่านหนังสือเรื่อง Justice ที่ Michael J. Sandelเขียนบ้าง คนนี้นี่ล่ะค่ะเป็นคนแปล
คือแบบโอ้เย้! ใช่เลย แต่ในหนังสือเรื่อง Troll Way นี้คุณสฤณีไม่ได้เขียนแค่คนเดียวค่ะ แต่ยังเขียนร่วมกับ
คุณทีปกร วุฒิพิทยามงคล ซึ่งเป็นนักเขียนที่เรียนเรื่อง Cat Study และอื่นๆอีก ซึ่งเราก็ไม่ทราบ เพราะเคยอ่าน
เรื่อง Cat Study ของเขาแค่เรื่องเดียว ฮ่าๆ

บนหน้าปกของหนังสือ TROLL WAY ทางสายเกรียน นี้ มันจี้จุดใจดำเรามากในประโยคที่ว่า
คู่มือทำความเข้าใจ คนที่ไม่พยายามเข้าใจว้าว! ซึ่งในหนังสือเล่มนี้หลังจากอ่านไปแบบคร่าวๆแล้ว
ผู้เขียนเขาได้แบ่งคนออกเป็นสองประเภทคือ ตรรกะวิบัติทางการ กับ ไม่ใช้เหตุผล ซึ่งอ่านไปมันก็ฮาๆ
แล้วบางครั้งก็จี้ใจดำ เพราะบางครั้งเราก็เป็นคนที่ไม่ใช้เหตุผลเวลาเถียงเหมือนกันไง ฮ่าๆ
พออ่านไปเรื่อยๆ เราก็รู้สึกว่า เออ! มันเหมาะสำหรับคนที่มันไม่พยายามจะเข้าใจอะไรเลยจริงๆนั่นล่ะ
สำหรับใครที่คิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้น หรือยังไม่รู้ตัว ก็ลองหาซื้อมาอ่านกันนะคะ ฮาๆแต่จี้จุด มันส์ค่ะ!

ต่อมาบ้าง หนังสือเรื่อง GLOBALIZATION หรือ โลกาภิวัตน์นั่นเอง เล่มนี้ที่ซื้อมาเพราะว่าต้องมาใช้
ในงานวิจัยของตัวเองค่ะ ไม่มีเหตุผลนอกเหนืออย่างอื่นเลย ยังไม่ได้เริ่มอ่านเลยยังไม่ทราบว่ามันดีหรือไม่ดี
แต่จากที่เคยอ่านเรื่อง ประชาธิปไตย ที่เป็นหนังสือชุดความรู้ฉบับพกพา ก็ถือว่าดีอยู่ในระดับหนึ่ง
เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหาความรู้เพิ่มเติมที่เป็นแนวทางแบบวิชาการค่ะ และก็ ฃหนังสือเล่มนี้เป็น
ของสำนักพิมพ์ Open Worlds ค่ะ (เราชอบสำนักพิมพ์นี้เพราะชอบอ่านหนังสือของปราบดาหยุ่นมากๆเลยค่ะ)

แล้วก็ต่อมาคือ Box Set เรื่อง Fifty Shades เป็นนิยายอีโรติกระดับ 21+ค่ะ อยากจะบอกว่า
มิสเตอร์เกรย์ฮอตมากจริมๆคนอ่านนี่บิดไปบิดมา เขินแล้วเขินอีก โอยยย! 
มิสเตอร์เกรย์นี่ฮอแบบแดดประเทศไทยยังต้องสยบเลยนะแก !

สุดท้าย นี่จะบอกว่าไม่ใช่ Box Set นะคะ แต่เป็นบ็อกซ์หรือกล่องเปล่าๆต่างหาก คือเราได้ซื้อหนังสือ
เรื่อง Divergent / Insurgent / Allegiant  หรือชุดไดเวอร์เจ้นท์เดอะซีรีย์นี่ครบทั้งสามเล่มแล้วค่ะ
แต่พอดีที่งานหนังสือเขาได้นำบ็อกซ์เปล่าๆมาขาย และก็มีบ็อกซ์แบบที่มีเล่มสามเล่มเดียวขายด้วย
แล้วเราก็ได้ซื้อมาเว้ยแก แต่เราซื้อบ็อกซ์เปล่าๆมา ราคาจำไม่ได้อ่ะ เพราะซื้อร่วมยอดกับฟิฟตี้เชด
แต่น่าจะไม่ถึงร้อยอ่ะ คิดว่าน่าจะมีขายทั่วไปตามร้านนายอินทร์ไรพวกนี้ด้วย ถ้าใครอยากได้ลองๆไปดูกันเนอะ

โอเค อวดหนังสือที่ได้มาครบทุกเล่มล่ะค่ะ 
อยากมาอวดแค่เท่านี้ล่ะ บัยยยยยย ฮี่ๆ

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Mockingjay Part1 : รีเวอรูชั่นซิมโบล♥

จากเด็กหญิงอายุสิบหกธรรมดา สู่เด็กหญิงผู้มากับไฟ 
และกลายเป็นม็อกกิ้งเจย์ สัญลักษณ์แห่งการปฏิวัติ

.
.
.




สำหรับหนังภาคต่ออย่าง Mockingjay Part 1 แน่นอนว่ากระแสตอบรับก็ย่อมมีทั้งดีและไม่ดี จากที่ไปบุกพันทิป และทวิตเตอร์ ได้ความเห็นมาอย่างล้นหลามกับหนังภาคต่อในเรื่องนี้ ซึ่งเราสามารถ สรุปแบบคร่าวๆได้ว่า เน้นเรื่องรักมากไป ดำเนินเรื่องยืดเยื้อ ฉากแอคชั่นไม่สุด และเน้นสงครามประสาทมากกว่า ดึงเอาเนื้อเรื่องของสองภาคแรกมาเฉลยอีกทีหนึ่ง และดรอปลงจากสองภาคแรกอย่างเห็นได้ชัด


ซึ่งทั้งหมดที่เรากล่าวมานั้น มันคือความคิดเห็นของคนอื่นนะ ไม่ใช่ของเรา ซึ่งสำหรับเรา แนวนี้คือแนวของเราอยู่แล้ว ดิสโทเปียคือสิ่งที่หลังรักรองจากของกินเลยแก ฮ่าๆ หลังจากที่ดูจบ หลายคนก็เดินบ่นออกมาจากโรงหนังว่า มันไม่สนุก มันไม่สุด จบแย่มาก บลาๆๆ แต่ตัวเราเองก็ทำใจตั้งแต่หนังมันสร้างออกมาแล้วแบ่งพาร์ทแล้วล่ะ เพราะเราก็มีบทเรียนมาตั้งแต่ Harry Potter และ Twilight แล้ว การแบ่งพาร์ท มันนำมาซึ่ง ความยืดเยื้อในการดำเนินเรื่องอย่างแน่นอน

แต่สำหรับเราในฐานะที่เราอ่าน The Hunger Games Series ทั้ง 3 เล่ม แล้วเราเป็นคนที่ชอบ เก็บรายละเอียดจากหนังสือไปเทียบกับหนัง ซึ่งในหนังภาคนี้เสริมเรื่องนอกเหนือจากหนังสือเข้าไปอีก และเก็บรายละเอียดของหนังสือได้เยอะพอสมควรเลย ใครที่อ่านหนังสือจะรู้เลยว่า ภาคนี้เป็นการปูทาง ให้สำหรับสงครามที่จะเกิดขึ้นต่อในพาร์ทที่สอง ซึ่งภาคนี้อยากบอกว่าแม้เนื้อเรื่องจะยืดเยื้อน่าเบื่อ แต่ปูทางสู่พาร์ทสองได้อย่างสง่างาม ผนวกกับ เจนนิเฟอร์ ลอว์เร้นท์ที่แสดงเป็น 
แคตนิส เอเวอร์ดีน เด็กสาวผู้มากับไฟ ซึ่งต้องบอกเลยว่า นางตีบทแตกมาก อินกับบทบาทตลอดทั้งเรื่อง

คือเวลาอ่านหนังสือ เคยอินกับตัวละครนั้นมากๆไหม ประหนึ่งว่าเราเป็นตัวละครตัวนั้นเลย ซึ่งในหนังสือมันเขียนอธิบายอารมณ์เอาไว้หมด เรารู้ว่าตัวละครตัวนี้เขานึกเขาคิดอะไรอยู่ แต่สำหรับในหนังมันไม่มีอะไรที่จะมาบรรยายความรู้สึกของตัวละครนั้นๆ แล้วหนังอย่างม็อกกิ้งเจย์นี่ก็ไม่ใช่ละครไทยไงแก ที่ตัวละครจะเดินๆแล้วก็ พูดแม่งคนเดียว คือมันไม่ใช่ !
แต่เจนนิเฟอร์ ลอว์เร้นท์แสดงออกมาทำให้เรารู้สึกว่าเขาเจ็บปวดกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขา ทั้งสีหน้า
และการแสดงของเขา ทำให้เรารู้สึกอินตามอย่างรุนแรงเลยนะ แล้วยิ่งภาคนี้ เน้นเรื่องสงครามประสาทกับจิตวิทยาหน่อยๆ มันเป็นอะไรที่ทำให้เราขนลุกตลอดเลย ยิ่งฉากที่แคตนิส ร้องเพลง The Hanging Tree บอกเลยว่า ตอนอ่านหนังสืออินกับเนื้อเพลงยังไง ในหนังเราอินยิ่งกว่า อาจจะเป็นเพราะซาวด์ดนตรีที่มันกระตุ้นให้เรารู้สึกว่ามันทรงพลัง มันฮึกเหิ้มมากเลยทีเดียว

จริงๆแล้วอยากได้เพลงนี้มากนะ แต่คงต้องรอให้ผ่านไปซักพัก คงมีคนอัดเพลงแบบเต็มๆ แล้วเป็นเวอร์ชั่นที่เจนนิเฟอร์ร้องมาปล่อยนั่นล่ะ ฟังแล้วชอบ ฟังแล้วติดหูมาก ขอสปอยซักท่อนสองท่อนแล้วกันนะคะ ใครสนใจฟังลองไปเสิร์ชหาในยูทูปได้ มีให้ฟังหลายเวอร์ชั่นเลย แต่เราชอบเวอร์ชั่นที่อยู่ในหนังมากจริงๆ J

“Are you, are you coming to the tree
Where they strung up a man they say murdered three.
Strange things did happen here
No stranger would it seem
If we met up at midnight in the Hanging Tree.”
                          -- The hanging tree from Mockingjay 


กลับเข้ามาในเรื่องของเนื้อเรื่องของภาคนี้ สำหรับเราภาคนี้มันยืดเยื้ออย่างที่หลายๆคนบอกไว้จริง การดำเนินเรื่องเป็นการนำเอาเรื่องของสองภาคก่อนนั้นมาเฉลย แต่ดูแล้วขัดอารมณ์ตอนของ ฟินิคนั้นมาเฉลยเรื่องที่เป็นความลับของสโนว์ คือฉากในหนังมันตัดไปตัดมา อารมณ์แบบถ้าฉัน ไม่ได้อ่านหนังสือนี่ จับประเด็นแทบไม่ได้เลยนะ (เป็นแค่เรานะ คนอื่นเราไม่รู้ ฮ่าๆ)
แต่โดยรวมคือเราประทับใจ ประทับใจที่เจนนิเฟอร์ตีบทแคตนิสจนเราอินแล้วร้องไห้ตามได้เลย และอีกอย่างหนึ่งคือ ในภาคนี้เน้นดราม่าซะเป็นส่วนใหญ่ ใครที่หวังอยากได้ฉากแอคชั่นแบบเอามัน อย่างสองภาคแรกคงต้องตอบว่า ไม่มีให้ดูนะแก มีแค่นิดเดียว แล้วก็คงจะไม่สุดใจพวกคอหนังแอคชั่นด้วย

เอาละ สำหรับเราหนังเรื่องนี้ให้คะแนนอยู่ที่ 8 / 10 อย่างที่บอก หนังยืดเยื้อเพราะแบ่งพาร์ทนั่นล่ะเหตุผลการตลาดล้วนๆ ไม่มีอะไรมาผสม ไม่สามารถอ้างได้ว่าเพราะต้องการที่จะเก็บรายละเอียดจากหนังสือ เพราะในหนังสือจากที่อ่านมาแล้ว พาร์ทเดียวก็เหลือแหล่แล้วแกเอ๋ยยยยยยยย  วุ้ยๆๆๆ

โอเคค่ะ วันนี้พอเท่านี้ล่ะ แล้วเจอกันใหม่นะคะ บัยยยย
Next station -- The Hobbit : The Battle of the Five Armies


PS. -- หนังเรื่องนี้ไม่ขอวิเคราะห์อะไรใดๆทั้งสิ้นนะคะ เห้!


UPDATE  23.11.2014 มีคนปล่อยเพลง The Hanging Tree แบบเต็มๆมาเรียบร้อยแล้วค่ะเลยเอามาแปะในบล็อกก่อนเลย ชอบมากๆสำหรับเพลงนี้ ถึงกับซิงค์ลงไอโฟนมานั่งฟังเลยนะ ฟังแล้วนี่จะร้องไห้ โคตรฮึกเหิ้มเลย ประหนึ่งจะไปกู้ชาติ เห้! 



( .´)


วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

love, rosie ♥

วันนี้ได้มีโอกาสไปดูหนังเรื่อง Love, Rosie มาเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่พิษณุโลก
เข้าช้ากว่าชาวบ้านชาวช่องเขาไปหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ดูละนะ ٩(`^´๑)۶

ปกติเป็นชะนีที่ไม่ชอบดูหนังรักเลย ถ้าไม่มีแรงจูงใจอะไรซักอย่างที่ทำให้อยากดู
แต่ที่ไปดูเรื่องนี้เพราะว่าลิลลี่ คลอลินล์เล่นค่ะ เราชอบเขามาก เป็นนักแสดงหญิง
ที่โปรดปรานมากที่สุดทางฝั่งฮอลลิวู๊ดคนหนึ่งเลย คือชอบจริง เป็นผู้หญิงที่ไม่ว่า
จะมองกี่รอบก็ไม่เบื่อ คือเธอน่ารักอ่ะ ขนาดชะนีอย่างนี่ยังตกหลุมรักเธอเลย


เลิฟโรซี่เป็นหนังที่เกี่ยวกับเพื่อนแอบรักเพื่อน แต่หนังเรื่องนี้สร้างแปลกไปจากทั่วไป
อาจจะเป็นตรงที่ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนที่รักข้างเดียว แต่ในหนังเรื่องนี้คือ
ทั้งสองฝ่ายต่างก็รักกัน แต่มันจำต้องมีเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งสองคนต้องคลาดกันไป
ต่างคนต่างมีคนรัก (ที่ไม่ได้รักจริงๆ) แต่สุดท้ายก็จบแบบแฮปปี้เอ็ดดิ้ง ซึ่งดูแล้วก็ลุ้นๆนะ
อย่างฉากจะจูบกันเงี้ย ลุ้นจนตัวบิด ในใจนี่เชียร์ให้จูบเลยๆ แต่สุดท้ายก็ผละกันออกไป
ไอ้คนดูอย่างเราก็ได้แต่ร้องเฮ้อออกมา ฮ่าๆ กว่าจะสมหวังกันได้ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน

หนังเรื่องนี้เป็นหนัง น่ารักมากๆเลยนะ นางเอกเข้มแข็งมากๆเลย
ชอบคาแร็กเตอร์ของโรซี่มาก คือปกติแล้วเวลาดูหนังรักจะเจอนางเอกงี่เง่าเป็นส่วนใหญ่
ซึ่งทำให้หนังกร่อยลงไป แต่เราว่าสำหรับโรซี่แล้ว นางแม้จะขี้วีนขี้เหวี่ยงไปบ้าง
แต่นางก็มีเหตุผลของนางที่ทำแบบนั้น นางมีลูกแต่นางก็มีฝัน และสุดท้ายนางก็ทำฝันนางได้
โอ้โห้ ผมนี่ปริ่มเลยตอนท้ายของเรื่อง ( ˘ ³˘)


สำหรับหนังเรื่องนี้ให้คะแนนอยู่ที่ 7 / 10 ค่ะ เป็นหนังน่ารักดูแล้วอมยิ้มตลอดเลย
แต่ในช่วงฉากบางฉากตัดไปเร็วมาก นั่นคงเพราะต้องการเก็บรายละเอียดจากหนังสือ
ให้ได้มากที่สุด (คิดว่างั้นนะ) เออ! ลืมบอกไปว่าหนังเรื่องนี้สร้างมาจากนิยายนะ ฮิฮิ


วันนี้เอาไว้เท่านี้ละกัน ง่วงมากเลย ต้องปั่นวิจัยต่อ
ฮึบ! สู้ตาย เห้! บัยยยยยย (ˇεˇ๑)


วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

อยากแนะนำหนังสือ' ♥

เคยอ่านหนังสือเล่มไหนแล้วมันเร้าอารมณ์จนเก็บเอาไปฝันบ้างไหม ?

YEAH‼‼‼‼‼! I’M COME BACK‼‼‼‼‼‼‼‼‼‼ ขอเสียงเราชาวร็อคหน่อยเร้วววววววว
ชาวร็อคที่นี้ไม่มีตบเมียโชว์นะคะ ไม่ใช่นะคะ ไม่ใช่ๆ55555555555555555555555555
เอ้า! นี่จะไปแซะเขาทำไม เขาอยู่ของเขาเฉยๆ เอ้อออ อีนี่หนิ5555555555555555555

โอเค สวัสดีสวีดดัดกลับมาแย๊ววววว ไม่พูดอะไรมาก แค่จะมาแนะนำหนังสือเล่มหนึ่ง
ซึ่งไปเจอมาที่ร้านขายหนังสือเก่าในงานเกษตรฯที่มอตัวเอง มันขายเล่มละห้าสิบบาท
แล้วเห็นว่ามันเป็นนิยายแปล เป็นแนวสืบสวนสอบสวนค่ะ กะว่าเอามาอ่านแก้เครียด
เอามาอ่านเล่นๆให้เบาสมอง ไม่ได้คิดอะไรมาก แล้วก็ไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะได้หนังสือดีๆ
ในราคาห้าสิบบาทมาอ่าน ในตอนแรกคิดว่าจะเป็นหนังสือกะโหลกกะลา
แบบอ่านๆให้เบาสมองเล่นๆ แต่ดั๊น! แม่งหนังสือเล่มนี้โคตรเจ๋งเลย J


หนังสือเล่มนั้นก็คือ มิดไนท์เอเจนซีกับคดีลัทธิแห่งความตายหูยยยยยยยยยยยยยยย
เราว่าหลายคนคงเคยเห็นนะ ไม่รู้ว่าจะมีใครอ่านบ้าง แต่เราว่ามันตื่นเต้นมากๆเลยนะ
เรารู้เว้ย ถึงแม้มันจะสู้นิยายสืบสวนสอบสวนแบบพวกคินดะอิจิ เชอร์ล็อคโฮล์มส์ หรือ
คนเขียนดังๆแบบThomas Harris ไม่ได้ แต่เรื่องนี้มันก็ดีในระดับหนึ่งเลยนะ

คือปกติก็ไม่ใช่คนอ่านแนวสืบสวนสอบสวนซักเท่าไหร่ แต่อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกมันตื่นดีอ่ะ
จริงๆแล้วเราชอบแนวไซไฟ ดิสโทเปีย ไม่ก็แฟนตาซีจ๋าไปเลย แต่นี่เราอ่านแบบนอนสต๊อป
คืออ่านรวดเดียวจบ ไม่ได้ค้างคาเหมือนเรื่องอื่นๆที่อ่านไง ห้าสิบบาทนี่คุ้มจริงๆ

แต่ถ้าถามว่ามันดีจนไม่มีข้อติเลยหรือเปล่า อันนี้ก็คงต้องตอบว่าไม่ใช่อ่ะ
เราว่าเนื้อเรื่องมันจบแบบดื้อๆ และเดาคนร้ายได้เร็ว แต่สิ่งที่ทำให้เรา ตื่นคือสถานการณ์
กับฉากในเรื่องมากกว่า อะไรที่มันลี้ลับมาพร้อมกับปมปริศนาฆาตกรรมนี่ล่ะที่มันน่าค้นหา
แต่หนังสือเล่มนี้คงไม่เหมาะสำหรับคนที่ชอบจุดพีคแบบเยอะๆ เพราะเรื่องนี้มันไม่ใช่แบบนั้นอ่ะ
มันหักมุม (ที่ฉันสามารถเดาได้) แค่ตอนเดียวคือตอนเฉลยคนร้าย555555555555555555

เรื่องนี้ก็เหมือนกับหลายๆเรื่องนั่นละที่สร้างตัวผู้ร้ายแบบไม่มีคนคิดว่าจะใช่แต่มันก็ใช่
แต่ไอ้ความที่ว่ามันไม่น่าจะใช่นี่ล่ะที่ทำให้เดาได้ว่าไอ้นี่มันใช่ (งงมะ?)5555555555555555
เออๆ ก็แค่มาแนะนำหนังสือเท่านี้ละ เห็นมาราคาถูกและถือว่าดี เลยมาแนะนำต่อ ()

โอเคแก ไม่มีอะไรละ ช่วงนี้ใกล้สอบไฟนอลแล้ว งานมาพรึบเลย
ต้องรีบปั่นต้องรีบส่ง วิจัยอีกโอ้โห้ ชีวิตนี้นี่เอาไปเขียนเป็นนิยายแฟนตาซีขายได้เลยแก

เออๆๆ ไปล่ะ บัยยยยย