วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2559

i’m a little peculiar.


I think I’m a little peculiar.
ก็คิดว่าตัวเองแปลกประหลาดอยู่นิดหน่อยนั่นล่ะ (?)



ใครสาวกบ้านเด็กประหลาด ขอให้ยกมือขึ้น! เฮ้!
me / ชูสองมือสุดแขนเลย555555555555



สิ้นสุดการรอคอยของหนังที่ตั้งตารอประจำปีนี้ไปอีกหนึ่งเรื่อง สำหรับ Miss Peregrine’s Home for Peculiar Children หรือในชื่อภาษาไทย บ้านเพริกริน เด็กสุดมหัศจรรย์ ซึ่งดัดแปลงมาจากวรรณกรรมเยาวชนขายดีติดอันดับนิวยอร์คไทม์เบสเซลเลอร์แต่งโดย แรนซัม ริกส์ เมื่อปี 2011 ที่ผ่านมา และถูกแปลเป็นไทยตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2556 โดยใช้ชื่อว่า บ้านหลอนเด็กประหลาด (ซึ่งอยากจะอวดว่าเราซื้อมาตั้งแต่ตีพิมพ์ครั้งแรกด้วยล่ะ อิอิ) เป็นวรรณกรรมที่จัดได้ว่าทรงคุณค่าและคู่ควรแก่การเก็บสะสมเป็นอย่างยิ่ง

credit : bibliophilia-books

ในซีรีย์มิสเพริกรินนี้มีทั้งหมด 3 เล่มด้วยกัน และถูกแปลเป็นไทยครบทั้งหมดแล้ว ซึ่งตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แพรวเยาวชน ดังนั้น ใครชอบเรื่องหลอนนิดๆแบบเด็กๆ และเหนือจินตนาการ เรื่องนี้จะเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คู่ควรแก่การอ่านมากๆค่ะ

มาเข้าเรื่องของหนังกันบ้างดีกว่า สำหรับหนังเรื่องนี้ ถ้าตัดความเป็นแฟนคลับของวรรณกรรมออกไป สิ่งที่น่าสนใจคงเป็นชื่อผู้กำกับอย่าง ทิม เบอร์ตัน (Tim Burton) ผู้สร้างผลงานสะท้านหัวใจเราเอาไว้หลายเรื่อง อย่าง Edward Scissorhands, Corpse Bride, Alice in Wonderland และอีกมากมาย แต่ที่ทำให้รู้จักคุณลุงเบอร์ตันที่สุดก็คงหนีไม่พ้น Batman Return ของปี 1992 (แม้จะสู้แบทแมนของโนแลนไม่ได้ก็เต้อะ!) แต่ก็นะ ผู้กำกับแต่ละคนก็ต้องมีเอกลักษณ์ที่ทิ้งเอาไว้ ทำให้เรารู้ว่า เออ! เรื่องนี้เป็นของลุงแกนั่นล่ะ! งานแบบนี้ แนวนี้ ต้องของลุงแกแน่ๆ! และก็นั่นล่ะค่ะ คือความเป็นยูนีคของแต่ละคน ซึ่งเมื่อพูดถึง ทิม เบอร์ตัน ผลงานในแบบของเขาก็คงหนีไม่พ้น แฟนตาซีที่ออกเฮอร์เร่อนิดๆ (?) แต่ดูแล้วอิ่มและย่อยง่าย ซึ่งก็อยากจะบอกว่า เขาทำแนวนี้ได้ดีนะคะ เราชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง ฮ่า!


บ้านเพริกริน กับเด็กมหัศจรรย์นี้จัดได้ว่าเป็นหนังแนวแฟนตาซีอีกเรื่องที่ดูง่ายๆ สบายๆ โดยมีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับ เด็กชายคนหนึ่งที่ชื่อ เจคอบ พอร์ตแมน ผู้ถูกนิทานเด็กประหลาดของคุณปู่พอร์ตแมนฝังหัวมาตั้งแต่เด็ก  แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปจนเขาโตขึ้นนิทานสมัยเด็กของปู่เขาก็กลายเป็นแค่เรื่องหลอกลวง จนกระทั่งเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดพรากชีวิตคุณปู่พอร์ตแมนไป และยิ่งไปกว่านั้น เจคอบได้มองเห็นบางอย่างในวันที่ปู่ของเขาเสียชีวิต และคอยตามหลอกหลอนเขาจนคนในครอบครัวของเจคอบคิดว่าเขาเสียสติ แต่ถึงอย่างนั้นเจคอบก็ต้องการค้นหาความจริงกับปริศนาที่ปู่พอร์ตแมนทิ้งไว้ก่อนตาย การผจญภัยเพื่อหาคำตอบจึงนำเขาไปหา มิสเพริกรินและเหล่าเด็กประหลาดทั้งหลาย

โดยส่วนตัวแล้ว สำหรับหนังเรื่องนี้มันมีทั้งจุดที่ชอบมากกว่าในหนังสือ และจุดที่ไม่ชอบ ซึ่งถ้าให้เทียบกันจริงๆ ก็คงต้องบอกเป็นประโยคเดิมว่า ข้อจำกัดของหนังและหนังสือมันไม่เหมือนกัน และแน่นอนว่า ความรวบรัดที่ถูกตัด ดัดแปลงมาจากในหนังสือมันทำให้หนังบางช่วงที่รู้สึกว่า หืม? หรือเป็นโมเม้นท์ที่หลายๆคนเรียกว่า Weird! ซึ่งความรู้สึกแบบนี้นี่ล่ะ ที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดูดรอปลงไป และรู้สึกว่ามันสนุกไม่สุด แต่ถึงอย่างนั้น ให้มองในอีกมุมหนึ่ง หนังเรื่องนี้ถือว่าทำได้ดีในการรวบรัดตัดตอนและสรุปความของเนื้อเรื่องทั้งหมดภายในสองชั่วโมงได้ และที่สำคัญคือ เป็นการดัดแปลงตัวละคร และพล๊อตเรื่องได้น่าสนใจด้วย (ซึ่งถ้าใครอ่านหนังสือก็จะรู้ว่าเขาสลับตัวละครกันนิดหน่อย แต่ในส่วนนี้จะไม่ขอพูดถึงละกัน มันจะเป็นการสปอยเนื้อเรื่องเกินไป)

การไล่เรียงเรื่องราวในช่วงต้นเรื่อง ต้องบอกก่อนว่า เร็วจนรู้สึกว่าเหมือนน้ำร้อนยังไม่ทันเดือดก็เอามากิน แต่พอมาถึงช่วงกลางเรื่อง เราจะรู้สึกเหมือนว่าได้น้ำร้อนที่เดือดพอจะชงกาแฟกินได้ และเมื่อถึงจุดพีคของเรื่อง จุดที่เฉลยปมทุกอย่างก็ต้องบอกเลยว่ากาแฟกับน้ำเดือดที่ชงมันอร่อยมากค่ะ การผสมผสานความประหลาดของเนื้อเรื่อง และพลังวิเศษของตัวละคร มันเป็นอะไรที่ลงตัว แม้จะมีจุดสะดุดไปบ้าง แต่โดยรวมคือดี แม้จะไม่ได้ดีเยื่ยม หรือดีที่สุด แต่ก็จัดได้ว่า เป็นหนังที่ดีอีกเรื่องเลยทีเดียว ใครที่ชอบแนวแฟนตาซี หรือหลงใหลในงานกำกับของ ทิม เบอร์ตัน เรื่องนี้จะเป็นอีกเรื่องที่ตอบความนี๊ดในตัวได้ไม่มากก็น้อย

โดยสรุปแล้ว หนังเรื่องนี้ จัดให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดูง่าย และย่อยง่าย ไม่หวือหวาเกินไป และก็สนุกกำลังพอดี สำหรับใครที่กำลังมองหาหนังดูแก้เบื่อ แก้เครียด และคุ้มกับเงินร้อยที่จะต้องเสียไปดู เรื่องนี้(สำหรับเรา)ก็เป็นอีกเรื่องที่ดูแล้วรู้สึกไม่เสียดายเวลา และไม่เสียดายเงิน รวมไปถึงไม่เสียดายความรู้สึกด้วย เป็นอีกเรื่องที่แนะนำให้ดูค่ะ (ถ้าชอบแนวแฟนตาซีน่ะนะ)

สุดท้าย อย่าลืมไปหาหนังสือกันมาอ่านนะคะ เด็กประหลาดเหล่านี้จะทำให้วางไม่ลง อิอิ


ปล. เราชอบตัวละครในหนังมากเลย โดยเฉพาะมิสเพริกรินกับเอ็มม่า มีความเด็ด เยิฟๆ



ด้วยรัก ٩(ε )۶





วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559

SUICIDE SQUAD



SUICIDE SQUAD

แม้เป็นตัวร้ายก็มีหัวใจนะ!


เป็นอีกหนึ่งเรื่องของ จักรวาลDC ที่เราเองตั้งหน้าตั้งแต่รอคอยแบบข้ามปีกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นทีเซอร์เอย ทริลเลอร์เอย หรือแม้แต่ตัวนักแสดงที่ปล่อยๆกันออกมาเอย ทั้งหมดนี้ ถือว่ามีความน่าสนใจ และที่ขาดไปไม่ได้ คือตัวร้ายระดับตำนานอย่าง โจ๊กเกอร์ (JOKER) ที่ได้จาเร็ด เรโต้ มารับแสดงในบทนี้ สาวกเขาก็กรี๊ดกร๊าดปรอทแตกเพราะความฮ๊อต (ซึ่งอาจรวมตัวเราด้วย55555555555) รวมไปถึงที่ฮือฮาสุดๆกับ ฮาร์ลีย์ ควินน์ (HALEY QUINN) OH MY PUDDIN! ของโจ๊กเกอร์ ที่ได้ มาร์ก็อต ร็อบบี้ คนสวยมาแสดงอีกคน นอกจากนี้ ยังมี เดทช๊อต (DEATSHOT) ซึ่งเป็นตัวละครที่เราชอบมากๆอีกตัว และได้ วิลล์ สมิธ มารับบทนี้อีกด้วย

แค่ตัวละครหลักๆ ก็ถือว่ามีความน่าสนใจ และกินขาดไปเกือบครึ่ง แต่ก็นั่นล่ะ มันเป็นแค่องค์ประกอบส่วนหนึ่งที่ดึงดูดเท่านั้น แก่นหลักของหนังถ้าไม่กล่าวถึงเนื้อเรื่องก็คงจะไม่ใช่
มาพูดถึงเรื่องราวคร่าวๆ ของหนังเรื่องนี้กันก่อนเลยดีกว่า เรื่องราวก็คล้ายๆกับหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่ทั่วไปนั่นล่ะค่ะ กลับกันตรงที่ว่า เรื่องนี้เป็นแนว แอนตี้ซุปเปอร์ฮีโร่ แทน โดยมีเรื่องย่อประมาณว่า รัฐบาลต้องการก่อตั้งโปรเจคเอ็กซ์ (Project X) เพื่อความมั่นคงของชาติ (?) และป้องกันอันตรายจากภายนอกโลก (หรือให้พูดจริงๆก็คือ เป็นตัวตายตัวแทนนั่นล่ะ555555555555) เรื่องนี้จริงๆแล้วสืบเนื่องมาจาก Batman v Superman มันมีจุดเชื่องโยงเหตุและผลของการตั้งโปรเจคนี้มานิดหน่อย แล้วก็บู้ม! เกิดเป็นทีม “SUCIDE SQUAD” ขึ้นมา


สำหรับเรื่องนี้แล้ว จุดแรกที่อยากติที่สุดคือ ใช้ตัวละครได้สิ้นเปลืองมาก โดยสิ้นเปลืองในที่นี้ของขยายความไว้ว่า ตัวละครมีเยอะเกินไป และใช้ไม่คุ้มค่าเลย แต่อันนี้พอเข้าใจ เพราะอะไรหลายๆ อย่างในข้อจำกัดของภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเวลา หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในหนังอะไรก็ตามแต่ ทำให้เกิดข้อติตรงนี้ได้ ซึ่งมันไม่ใช่แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวหรอกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ มีหนังหลายเรื่องที่ก็มีลักษณะนี้เกิดขึ้น แต่ทางที่ดี ใช้ตัวละครให้คุ้มค่าหน่อยก็ดีค่ะ เพื่อจะได้ไม่เกิดข้อครหาที่ว่า มีฉันไว้เพื่ออะไร เกิดขึ้น

จุดที่สองที่ทำให้รู้สึกดูแล้วไม่ค่อยบันเทิงเท่าไหร่ คงเป็นเรื่องของการเรียงลำดับเนื้อเรื่องนี่ล่ะ จำความรู้สึกตอนในอยู่ในโรงหนังได้ เพราะเกิดคำถามขึ้นในหัวทันทีว่า อะไรวะ? โดยความรู้สึกที่ดูเนี่ย มันจะมีอยู่ช่วงนึงที่อยู่ๆ มันก็โดดมาเหตุการณ์หนึ่ง แล้วก็กลับไปอีก แล้วก็บริงอิทแบค อะเกนแอ่นอะแกน แบบเนี้ย! มันทำให้รู้สึกว่า สรุปแล้วต้องการจะจี้ประเด็นไหนกันแน่คะ จุดไหนก็พ้อยท์สำคัญของเรื่องกันแน่คะ ก็นั่นล่ะค่ะ!

โดยทั้งสองจุดที่กล่าวมานี้ มันไม่ได้หมายความว่า เรื่องนี้ไม่มีข้อดี ซึ่งจริงๆแล้ว เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นหนังที่ดูแล้วบันเทิงในระดับหนึ่ง แล้วก็คิดว่าแฟนคอมมิคคงดูแล้วชื่นอกชื่นใจอย่างแน่นอน ซึ่งตัวเราเองนั้นก็อ่านคอมมิคของดีซีอยู่เช่นกัน (แต่อ่านTHE FLASHอยู่เรื่องเดียวค่ะ555555555555555) มันจะเข้าใจอารมณ์ที่ว่า ก็ในการ์ตูนมันเป็นแบบเนี้ย มันสนุกนะเว้ย ใครว่าไม่สมเหตุสมผลกัน ประมาณนี้เป็นต้น ฮ่า!


จนถึงตอนนี้ ตอนที่เรากำลังนั่งพิมพ์อยู่ เราก็พยายามนึกตลอดว่าแก่นแท้ของเรื่อง นอกจากต้องการจะสร้างเพื่อเป็นตัวเชื่อมไปยัง JUSTICE LEAGUE แล้ว มันต้องการจะบอกอะไรกับเราอีก แล้วเราก็มาสะดุดตรงสร้อยคอของฮาร์ลีย์นี่ล่ะ “PUDDIN!” (ไม่ได้หมายความว่าหิวพุดดิ้งหรืออะไรนะ) และก็นึกย้อนกลับไป มันเป็นจุดที่สังเกตให้เห็นง่ายๆแล้วนี่ล่ะ ตัวละครในเรื่องนี้(เกือบ)ทุกตัว มีจุดอ่อนกันหมด แม้จะเก่งกาจสามารถกันมาจากไหน ก็มักพ่ายกับกับความรู้สึกของตัวเอง จุดอ่อนของฮาร์ลีย์ก็คือโจ๊กเกอร์ เพราะอะไรโจ๊กเกอร์จึงกลายเป็นจุดอ่อน ก็เพราะ รัก คำเดียวล้วนๆค่ะ ไม่ต้องบอกว่าน้ำเน่าค่ะ มันคือเรื่องจริงค่ะ ความรู้สึกของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ฮาร์ลีย์อาจจะเป็นคนโรคจิตในสายตาคนอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารู้สึกไม่เป็น ซึ่งในทางเดียวกัน เดทช็อตก็เช่นกัน แม้จะไม่ใช่ความรักที่เกิดขึ้นเชิงชู้สาวแบบฮาร์ลีย์และโจ๊กเกอร์ แต่ก็เป็นความรักที่ให้กับคนในครอบครัวอย่างลูกสาว ดังนั้น ลูกสาวจึงกลายเป็นจุดอ่อนไป ดังนั้น สรุปไว้ตรงนี้ ถึงจะเลวแต่ก็รักเป็นค่ะ (ฮิ้ววววววววววววววว!)

          ทั้งนี้ SUICIDE SQUAD แม้จะโดนวิจารณ์แบบยับเยินและส่วนมากเป็นไปทางลบ แต่นั้นไม่ได้แปลว่าเป็นหนังที่ห่วยแตก หรืออะไร สำหรับเรามันก็ดีอยู่ในระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่ติดว่าทำตัวเยอะจนเกินไป มันอาจจะดีกว่านี้ก็ได้ ซึ่งก็ได้แต่หวังว่า หนังเรื่องต่อไปของจักรวาลดีซีจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆไป จะเป็นกำลังไตให้ตรงนี้ล่ะค่ะ ด้วยรัก


วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Cloverfield ( ꒪Д꒪)ノ


Goodbye Manhattan

ลาก่อนแมนฮัทตัน!



     ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาได้มีภาพยนตร์เรื่อง 10 Cloverfield Lane ซึ่งเป็นภาพยนตร์ภาคแยกของ Cloverfield หรือในชื่อภาษาไทย วันวิบัติอสูรกายถล่มโลกเข้าฉาย ซึ่งเสียงตอบรับก็หลากหลายเสียเหลือเกิน แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมีชื่อ เจ.เจ. อัมบราส์ เป็นโปรดิวเซอร์ อำนวยการสร้างเรื่องนี้ ก็ถือได้ว่าเป็นชื่อการันตีเรื่องของคุณภาพของหนังไว้ส่วนหนึ่งเลยก็ว่าได้

     สำหรับเอ็นทรี่นี้ ขอกล่าวถึงภาพยนตร์อย่าง Cloverfield ของปี 2008 เพราะเนื่องจากเพิ่งดูจบก่อนหน้าที่จะเขียนไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง โดย Cloverfield ถือว่าเป็นภาพยนตร์แนว Hand-Held Camera ซึ่งภาพยนตร์แนวนี้ก็ได้ทำออกมาหลากหลายเรื่อง ยกตัวอย่างภาพยนตร์ที่พอจะติดหูคนทั่วไปก็คงมี Paranormal Activities, REC, The Blair Witch Project ซึ่งเชื่อได้เลยว่า หลายคนคงไม่ชอบดูภาพยนตร์แนวนี้กันซักเท่าไหร่ เพราะนอกจากจะรู้สึกเวียนหัวกับกล้องที่ต้องโยกไปมาตลอด ลามไปถึงบางทีต้องหลับตาดูหนัง จนบางครั้งก็ทำให้ดูหนังไม่รู้เรื่องอีก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อเนื้อเรื่องมันน่าสนใจ ยังไงๆ เราก็จะดู! (จริง ๆ เข็ดตั้งแต่ The Blair Witch Project แล้ว เรื่องนี้ทำเอาตึ๊บเลยก็ว่าได้)

     เข้าเรื่อง Cloverfield กันเลยดีกว่า ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นการเล่าถึงชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า 'ร๊อบ' เขาได้งานที่ญี่ปุ่น ดังนั้นแล้วน้องสาว และเพื่อนๆ ของเขาจึงตั้งใจที่จะจัดปาร์ตี้เพื่อฉลองให้เขา แต่แล้วเหตุการณ์ไปคาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่ออยู่ๆ ก็เกิดแผ่นดินไหว ทุกอย่างดูสับสน และอลหม่านไปหมด เมืองแมนฮัทตันที่พวกเขาอยู่อาศัย ค่อยๆ สูญสภาพ ทั้งตึกถล่ม สะพานขาด รวมไปถึงการสัตว์ประหลาดที่ทำเอาทุกคนในเหตุการณ์ช๊อคกันไปตามๆ กัน และนอกจากนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เล่าเพียงแค่การพังทลายของแมนฮัทตัน และสัตว์ประหลาด แต่ยังเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างร๊อบกับอดีตคู่เดทของเขา ซึ่งชวนให้น่าติดตามมากยิ่งขึ้น
     สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วถือว่าสนุกใช้ได้เลยทีเดียว แต่ถ้าให้ดูแบบจริงๆ จังๆ ก็คิดว่ามีจุดบอดสำหรับหนังประเภท Hand held อยู่ในเรื่องนี้อยู่หลายจุดอยู่เช่นกัน อย่างความไม่สมเหตุสมผลในสถานการณ์ของตอนถ่าย/ตอนวางกล้อง และอื่นๆ แต่ยังไงก็พยายามมองข้ามๆ มันไป เพราะจะรู้สึกไม่สนุกเวลาดูเสียเปล่าๆ


     อย่างแรกสำหรับเรื่องนี้ ชอบตรงที่ว่า พอดูจบหลายๆ อย่างยังคงปริศนาทิ้งไว้ให้คิดต่อ ไม่เฉลยอะไรเลย คล้ายกับเรากำลังดูเทปบันทึกสถานการณ์หนึ่ง แล้วก็ต้องหาคำตอบกันต่อไป (จริงๆ ชวนให้น่าติดตามดูต่อในภาคสองเสียมากกว่า)

     อย่างที่สอง ชอบสัตว์ประหลาดในเรื่องนี้ และฉากแมนฮัทตันตึกถล่ม สะพานทลาย ฟาดฟันกันตูมตาม แม้จะรำคาญเสียงคนตะโกนใส่กันก็ตาม แต่ถือว่าได้อรรถรสไปอีกแบบ

     อย่างที่สาม ประทับใจตอนจบ เชื่อว่าหลายคนคงเกลียดการจบแบบปลายเปิดแบบนี้ แต่สำหรับตัวเราเองนั้นชอบ เพราะอย่างที่บอกไว้ในข้อแรก มันเป็นปริศนาทิ้งเอาไว้ให้คิดต่อว่าสรุปรอดหรือไม่ แล้วแมนฮัทตันจะเป็นเช่นไร สัตว์ประหลาดตายแล้วหรือยังอยู่ นั่นคือสิ่งที่คิดว่าเป็นความแนบเนียนในเรื่องตัวบทในหนังประเภท hand held อีกอย่าง เพราะอะไร? ก็เพราะว่า Cloverfield เป็นกลายเล่าเรื่องผ่านคนในสถานการณ์นั้น ตัวละครดำเนินเรื่องไม่รู้ คนดูอย่างเราก็ไม่รู้เช่นกัน และนั่นก็ถือว่าเป็นเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้เลยก็ว่าได้


     โดยสรุปแล้ว ถือว่าภาพยนตร์อย่าง Cloverfield เป็นหนังประเภท Hand-Held อีกเรื่องที่ดูแล้วรู้สึก ประทับใจส่วนหนึ่ง ถ้าตัดความเวียนเศียรจากเรื่องการส่ายไปส่ายมาของกล้องนะ และอีกเรื่องอย่างที่บอก ถ้าไม่จับผิดเรื่องรายระเอียดยิบย่อยของสถานการณ์ คิดว่าเรื่องนี้เป็นหนังที่สนุกมากเลยทีเดียว ดังนั้น แนะนำให้ดูค่ะ แต่ถ้าใครไม่ชอบแนวนี้ก็แนะนำให้ดูเช่นกัน เผื่อจะเปลี่ยนใจ ฮ่า!





วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

Captain America: Civil War ♡



"เพราะความแค้นกัดกินจิตใจนาย ความแค้นกัดกินอเวนเจอร์
แต่ข้าจะต้องหยุดความแค้นไม่ให้กัดกินใจข้า"
                                                                               by Black Panther
                                                                               from Captain America: Civil War (2016)



     กลับมาฟื้นคืนชีพอีกครั้งกับหนังซุปเปอร์ฮีโร่ของมาร์เวล ต้องบอกก่อนเลยว่าไม่ผิดหวังกับซีวิลวอร์ ถือว่ามีความดีในระดับที่สมเหตุสมผล ดีงามตามเนื้อผ้า และดีงามตามมาตรฐานของหนังมาร์เวล ถ้าให้พูดแบบง่ายๆคือมันเป็นหนังที่ต้องเข้าแท่นแนะนำให้ดู และมันก็คุ้มค่ากับเงินที่ต้องเสีย ถือว่าเป็นหนังฟอร์มยักษ์แห่งปีที่โปรโมตแบบข้ามปีแต่ไม่เหลาะแหละก็ว่าได้ ซึ่งขอชื่นชมไว้ตรงนี้เลยล่ะกัน (ปรบมือ)


     หลายๆคนก็คงจะรู้เรื่องย่อๆของซีวิลวอร์อยู่แล้ว ตรงนี้ก็จะขอข้ามไม่พูดถึงไปล่ะกัน ดังนั้นเข้าเรื่องเลย (สิ่งที่จะพูดต่อไปนี้ล้วนติดสปอย ดังนั้นกดปิดได้ทันทีถ้ายังไม่ได้ดู ฮ่า!) โดยภาพรวมแล้ว ซีวิวอร์ทำได้ดีเลยทีเดียวทั้งมุขตลกสไตล์จิกกัดแบบฉบับมาร์เวล รวมไปถึงความตึงเครียด ความสมเหตุสมผลของเนื้อเรื่องและตัวละคร ซึ่งในส่วนของตัวละครนั้นต้องบอกว่ามันเยอะแยะไปหมด มีรายระเอียดยิบย่อยและไม่สามารถเก็บหมดได้จากการดูรอบเดียว แต่ถ้านับตัวละครหลักๆ ก็คงมีสองทีมสองฝั่ง ได้แก่

สตีฟ โรเจอร์ หรือทีมกัปตันอเมริกา มีลูกทีมอันประกอบไปด้วย บัคกี้ บาร์นส์ (วินเทอร์ โซลเยอร์) ,ฟอลคอน (แซม วินสัน) ,สการ์เล็ต วิทช์ (แวนด้า แม็กซิมอฟฟ์) ,แอนท์แมน (สก็อตต์ เอ็ดเวิร์ด แฮร์ริส แลงค์) และ ฮอว์คอาย (คลินท์ บาร์ตัน) 
และในส่วนของ โทนี่ สตาร์ค ผู้นำทีมฝั่งไออ้อนแมน ก็ตามมาด้วย แบล็ควิโดว์ (นาตาชา โรมานอฟ) ,วิชชั่น ,วอร์แมชชีน (เจมส์ รูเพิร์ต โรดดี โรดส์) ,แบล๊คแพนเธอร์ (เจ้าชายทีชาล่า) และ สไปดี้ของเรา (ปีเตอร์ พาร์คเกอร์) ดูซิ! แค่แบ่งออกเป็นสองฝั่งตัวละครยังเยอะขนาดนี้ ตัวละครแบบยิบย่อยไม่ต้องพูดถึง จำไม่ได้ ฮ่าๆ

      หากว่ากันตามหลักเหตุและผลของตัวละคร จริงๆเราไม่สามารถที่จะชี้บอกว่าใครถูกหรือใครผิด เพราะในซีวิลวอร์ ทำให้เราเห็นปูมหลังและน้ำหนักของเหตุผลในแต่ละตัวละคร จนทำให้เกิดความเห็นใจแก่พวกเขา อย่างตัวของกัปตัน เพราะเขารักเพื่อน แม้จะต้องแหกกรอบนอกกฎหมายเขาก็จะทำ แต่ในส่วนของโทนี่แล้วนั้น พอมารู้ทีหลังว่ากัปตันมีส่วนรู้เห็นกับการตายของพ่อแม่ตัวเองก็เกิดความแค้น ซึ่งในส่วนนี้นี่เองที่ทำให้เรารู้สึกเห็นอกเห็นใจคุณโทนี่ขึ้นมา ไม่ใช่เพราะความผิดของแคป แต่เพราะตัวละครอย่างโทนี่ ที่ไม่สามารถวางอดีตร้ายๆไปจากจิตใจของเขาได้ จึงทำให้เกิดความแค้นและความโกรธแบบชั่ววูบที่ทำให้ต้องแตกหักกันไปข้าง ซึ่งตรงนี้เราดูแล้วเราเห็นใจตัวละครอย่างโทนี่จริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังเห็นด้วยกับคำพูดของโทนี่ที่ว่า ถ้าเรายังยอมรับข้อจำกัดไม่ได้ เราก็ไม่ต่างอะไรกับเหล่าวายร้าย ซึ่งจากคำพูดนี้ ผนวกกับสนธิสัญญาก็ผลักให้แคปต้องกลายเป็นผู้ร้ายไปโดยปริยาย

     ไม่ว่าจะอเวนเจอร์หรือกัปตันอเมริกาในภาคก่อนๆ เราได้ชื่นชมแคปมาตลอด และเรายอมรับเลยว่าแคปเป็นตัวละครตัวหนึ่งที่มีอุดมการณ์และจิตใจสูงมาก จนกระทั่งเจ้าชายแห่งอาณาจักรวากันด้าอย่างทีชาล่าปรากฏตัวพร้อมกับคำพูดหล่อมากๆในตอนเกือบสุดท้าย ก็ทำให้เรารู้เลยว่า คนที่จิตใจสูงส่งไม่ใช่มีแค่แคปคนเดียวอีกต่อไป เพราะเจ้าชายทีชาล่า หรือแบล๊คแพนเธอร์ เขาก็ทำให้เห็นแล้วว่าเขาสามารถตัดความแค้นในจิตใจ และวางความแค้นของเขาให้มันเป็นเพียงแค่อดีต (คำพูดของเขาอยู่ด้านบนของบทความนั่นล่ะ ฮ่า!) ซึ่งในตรงนี้นี่เองที่ทำให้เราตกหลุมรักตัวละครอย่างแบล๊คแพนเธอร์เข้าแบบจังๆ

     ตัวละครที่รู้จักกันดีอีกหนึ่งตัวที่ป๊อปปูล่ามากๆคือสไปดี้ หรือสไปเดอร์แมน ต้องบอกก่อนว่าตัวละครตัวนี้เรียกเสียงฮาได้ดีจริงๆ โดยส่วนตัวคือชอบน้องทอมแสดงมาก ซึ่งถ้านับภาคก่อนๆที่เคยชมกาฟิลไป ต้องขอยกมาให้น้องทอมหมดเลย น้องเขาดูไม่วัลลาบีกับการเป็นสไปดี้ฉบับเกรียนๆ ถึงจะเป็นตัวละครที่พูดมาก(ตามสไตล์ปีเตอร์ พาร์คเกอร์นั่นล่ะ) แต่กลับรู้สึกถึงความพอดีและน่าเอ็นดู ซึ่งชอบ(มาก) และยิ่งตอนปล่อยสารพัดมุขออกมา หนูเอ๋ย สมัครเป็นแฟนคลับน้องทอมแบบไม่ต้องสงสัย (ฮ่า!) ตอนนี้ก็รอภาคเดี่ยวโฮมคัมมิ่งของน้องเขาต่อไป



     ขอสรุปไว้ตรงนี้ว่า ไม่ว่าจะอยู่ฝั่งไหนสำหรับความคิดของเราแล้วมันเหมือนมีพื้นที่สีเทาที่กั้นขวางตรงกลางระหว่างถูกและผิด เพราะหากมองย้อนกลับไปในอดีตของโทนี่ก็น่าเห็นใจ ตัวของแคปที่มีเพื่อนรักร้อยปีก็น่าเห็นใจไม่แพ้กัน ซึ่งเอาจริงๆแล้วนอกจากแคปและโทนี่ ตัวละครที่เรารู้สึกเห็นใจคือบักกี้ด้วยอีกหนึ่งคน ทั้งหมดที่พูดมา เราไม่สามารถที่จะวัดระดับความผิดชอบชั่วดีของพวกเขาได้เลย (ถ้าตัดเรื่องของความสูญเสียออกไปทั้งหมดนะ) เพราะต่างคนต่างก็มีเหตุผลและอุดมการณ์เป็นของตัวเอง ลองนึกภาพว่าตัวเองเป็นกัปตันแล้วเห็นเพื่อนรักร้อยปีของตัวเองจะต้องโดนจับโดยที่ตัวเองไม่ทำอะไร ก็คงจะต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต ซึ่งในฝั่งของโทนี่ก็เช่นกัน เห็นภาพพ่อแม่ตัวเองโดนฆ่าจากเพื่อนของเพื่อนตัวเอง และเพื่อนตัวเองก็มีส่วนรู้เห็น ก็คงรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง ดังนั้น ภาพเหตุการณ์พวกนี้นี่เองที่ทำให้เราคิดว่า มันเป็นพื้นที่ที่มันไม่ชัดเจนระหว่างคำว่าถูกหรือผิด

     ในกัปตันอเมริกา: ซีวิลวอร์นี้ยังทิ้งท้ายให้เราคิดได้ว่า สิ่งจากภายนอกที่พังทลายยังสามารถแก้ไขมันได้ แต่ถ้าหากภายในมันแตกสลายก็คงยากที่จะรักษาคืน ดั่งเช่นทีมอเวนเจอร์...ในตอนนี้


(*) มี end credit อยู่ 2 ตัว อย่ารีบลุกออกจากเก้าอี้ล่ะ!


ปล. เราย้ายทีมแล้ว อยู่ทีมน้องทอม อยู่ทีมสไปเดอร์บอย เห้ย! สไปเดอร์แมน :P




วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

DEADPOOL! จะเกรียนอะไรขนาดนี้!


WHY YOU SO TROLL!
ทำไมต้องเกรียนขนาดนี้คะที่รัก!



            ไรอัน เรย์โนลด์เป็นบุคคลที่หล่อมาก หล่อมาโดยตลอด หล่อแบบขอถวายชีวิต จนกระทั่งเขามาเล่นเป็น เดดพลู หรือที่ใครหลายๆคนแซวว่า จริงๆแล้วเดดพลูต่างหากที่เล่นเป็นคุณเรย์โนลด์ แต่ยังไงก็ช่าง เขาเปลี่ยนภาพลักษณ์ไปหมดแล้ว ให้ตายเถอะค่ะ! กลับมาดูกรีนแลนเทิร์นก็ไม่ช่วยอะไรจริงๆ ฮ่า!
            ต้องบอกก่อนเลยว่า ตอนเห็นใบแปะและทริลลเลอร์เรื่องนี้ครั้งแรกเป็นอะไรที่เรารู้สึกประทับใจนะ (?) มันเป็นอะไรที่แปลกและแหวกแนวในบรรดาหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่เคยผ่านตามา ด้วยการโปรโมทที่บ้าๆบวมๆสมกับลูกบ้าของตัวละคร เราก็เลยคิดว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่น่าติดตามเลยก็ว่าได้ แต่พอเอาเข้าจริงหลังจากที่ได้ไปดูหนังเรื่องนี้มา มันก็ทำให้เราได้รู้ว่าแท้จริงแล้วเดดพลูไม่ใช่หนังซุปเปอร์ฮีโร่อย่างที่คิด แต่มันคือหนังพล๊อต Anti-Superhero ต่างหากเล่า! มันก็เลยทำให้นึกหวนถึงเรื่อง Kick Ass ขึ้นมา ซึ่งมันมาแนวเดียวกันตรงที่พยายามจะแสดงจุดยืนสลับขั้วกับซุปเปอร์ฮีโร่ คิดว่าใครชอบเรื่องนี้ก็น่าจะชอบเดดพลูด้วยเช่นกัน




            แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังรู้สึกอีกว่าในเดดพลูนี้ยังให้กลิ่นอายคล้ายๆกับ Guardians of the Galaxy เป็นความบันเทิงที่ตลกโปกฮาพอกัน และถ้าสตาร์ลอร์ดมีมิกซ์เทพ เดดพลูของเราก็มีเพลงของจอร์จไมเคิลเช่นกันค่ะ

            จนต้นเรื่องถึงบทสรุปในภาคเริ่มต้นของเดดพลูได้สิ้นสุดลง ก็ทำให้คิดว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ เฉพาะกลุ่ม อยู่เช่นกัน แม้จะเป็นหนังคอมมาดี้ที่บันเทิงในขั้นเต็มสิบต้องได้เก้า แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเฉพาะกลุ่มอยู่ดี มุกจิกกัดคนอื่นไปทั่วแทบทั้ง ฮออลีวูด รามจนไปถึงนักกีฬามันใช้ไม่ได้ผลแน่ๆถ้าคนไม่รู้จักหรือไม่เคยดู ซึ่งตรงนี้ล่ะที่ทำให้หลายคนที่ไปดูไม่เข้าใจมุกที่ยิงโต้ตอบกันไปมา และตรงจุดนี้ล่ะที่เราคิดว่ามันเป็นหนังที่เฉพาะกลุ่มอยู่เหมือนกัน ยิ่งฟีดแบคตอนเราอยู่ในโรงด้วยแล้วล่ะก็ มีแค่บางกลุ่มเท่านั้นที่หัวเราะกับมุกในลักษณะนี้ แต่มันก็ยังดีตรงที่ตัวเดดพลูเองนั้นมันมีลูกบ้า ทั้งท่าทางการแสดงก็พอจะเรียกเสียงฮาได้อยู่ ซึ่งตรงนี้ให้ผ่านไปเลย huehuehue!



ปล. เชียร์ให้สร้างDeadpool vs Wolverineมากๆเลย งานนี้ต้องมันแน่ๆ!





วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

i'm single but i have movies❤




Who need the relationship?
NOT ME!
I HAVE MOVIES.


            ตั้งแต่ปีใหม่มาก็ไม่ได้มายุ่งอะไรกับบล็อกเลย เขียนบทความส่งอย่างเดียว ไม่มีมาอัพอะไรในนี้ทั้งนั้น   รู้สึกฟีลแบดนิดหน่อย แต่เมื่ออาทิตย์ก่อนหน้าก็ได้ไปดู The Revenant มาเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ขอเขียนรีวิวนะ เพราะขี้เกียจเขียน เอาเป็นว่าหนังเรื่องนี้พี่ลีโอเขาทุ่มสุดตัวจริงๆค่ะ แนะนำให้ไปดู เข้าชิงรางวัลออสก้าหลายสาขาด้วย ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจไม่ให้พี่เขานกในปีนี้อีกครั้งนะคะ สู้ๆค่ะ

            ประเด็นในการอัพครั้งนี้ไม่มีอะไรมาก เราแค่อยู่คนเดียวอารมณ์เปลี่ยว ผนวกกับคนข้างๆห้องที่หอเขาทะเลาะกับแฟน(?) ก็เลยนึกขึ้นได้ว่า อีกไม่กี่วันมันก็จะวาเลนไทน์แล้ว เมื่อตรุษจีนที่ผ่านมาอากงอาม่าก็ต่างกันพาทักทายว่า ลื้อหาผัวได้ยางง? อะหู้ว! โดนทักแบบนี้ก็เจ็บปวดเบาๆ ฮ่าๆ แต่เราโนสนโนแคร์ค่ะ ตอนนี้ชีวิตขออยู่กับนิยาย การ์ตูน ธีสิส และหนังเป็นพอ ดังนั้นแล้ว เหตุผลง่ายๆที่มาเขียนบล็อกในวันนี้คือ หนังรัก  ในเมื่อเราจะอยู่เป็นโสดกันยาวๆ เราก็จะไม่โสดไปอย่างเดียวดาย เพราะเรายังมีหนังรักเป็นคู่(ฆ่าตัว)ตายในวันวาเลนไทน์ ฉะนั้นแล้ว จะมาขอแนะนำ 10 อันดับหนังรักในดวงใจของเราที่จะทำให้วาเลนไทน์ปีนี้ไม่เหงาปราดเปลี่ยว(หรือยิ่งเพิ่มขึ้นก็ไม่รู้)อีกต่อไป เริ่มเลย!


อันดับ 10


She’s all that หรือ สาวเอ๋อสุดหัวใจ เชื่อว่าหลายๆคนเคยดูเรื่องนี้ เป็นหนังใสๆวัยรุ่น(สมัยไหนก็ไม่รู้)ชอบ ซึ่งเรื่องนี้เป็นหนังรักวัยรุ่นพล๊อตตลาด พระเอกผู้ป๊อปปูล่าได้ถูกบอกเลิกจากแฟนเก่าที่เป็นถึงควีนของไฮท์สคูล ด้วยศักดิ์ศรี และตำแหน่งที่เป็นถึงกัปตันทีมอเมริกันฟุตบอลจำต้องรักษาหน้า จึงพยายามแปลงสาวเฉิ่มที่รักสันโดษให้กลายเป็นสาวป๊อปราชินีงานพรอม โดยงานนี้มีพระเอกกับเพื่อนวางเดิมพันธุ์กันอยู่ เรื่องราวจะเป็นไงต่อไป ติดตามได้ในเรื่องนี้ค่ะ รับรองว่าสนุก แต่ต้องเตือนก่อนว่าเรื่องนี้ฉายตั้งแต่ปี 1999 อาจจะเสียอารมณ์กับภาพและเสียงนิดหน่อย แต่รับรองความสนุกนะ! อีกอย่างเรื่องนี้ได้ถูกเอาไปล้อในหนังเรื่อง Not Another Teen Movieด้วย ใครสาวกคริสอีวานหรือพี่กัปตันอเมริกาต้องเคยดูอย่างแน่นอน!

ปล. เพลง Kiss Me เป็นอะไรที่เพราะอมตะนิรันดร์กาลมาก ชอบหนังเรื่องนี้เพราะเพลงนี้เลยล่ะ


อันดับ 9


Two Night Stand อะไรกัน! มันมีวันไนท์สแตนด์แล้วยังมีทูไนท์สแตนด์อีกหร๊อ! (д) เรื่องนี้เป็นหนังรักที่น่ารัก เป็นอีกหนึ่งเรื่องโปรดที่เก็บไว้ในไอเท็มเลย เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนแปลกหน้าสองคนที่เจอในเว็บหาคู่ แต่ด้วยเหตุการณ์ทางสภาพอากาศไม่เป็นใจ เกิดพายุหิมะโหมกระหน่ำลงมา ทั้งคู่เลยต้องติดอยู่ในห้องออกไปไหนก็ไม่ได้ จาก one night stand เลยต้องกลายเป็น two night stand ไปซะอย่างนั้น อีกอย่างหนังเรื่องนี้ได้ ไมค์ เทเลอร์ มาเล่นด้วย ดีต่อหัวใจมากๆ แต่ก็นะสำหรับเรื่องนี้ไม่แน่ใจจริงๆว่ามีคนทำซับไทยให้ดูหรือยัง เพราะเรื่องนี้ไม่เข้าที่ไทยเราเลยต้องถูไถกับซับภาษาอังกฤษอันกากเดนของตัวเองมา แน่นอนว่ามีให้โหลด ใน Google Play ค่ะ แต่เว็บตามดูหนังออนไลน์นี่ไม่รู้จริงๆ แนะนำให้ดูค่ะ สนุกมากกกกกกกกกกกกก!


อันดับ 8


Love Actually ความรักอยู่รอบตัวเราค่ะ เป็นการเล่าเรื่องออกมาในรูปแบบหลายคน หลายคู่ ซึ่งสำหรับเรื่องนี้เป็นหนังที่ควรเก็บไว้ในเชลฟ์อีกหนึ่งเรื่องเลยนะ มันเป็นการเล่าเรื่องมุมมองความรักได้อย่างหลากหลาย ดูไปแล้วอาจจะมีเบื่อไปบ้างเพราะสำหรับหนังเรื่องนี้ไม่ใช่ใสๆกุ๊กกิ๊กแบบหนังวัยรุ่น แต่มันเป็นหนังรักที่ให้ข้อคิดอะไรหลายๆอย่าง ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่อยากให้ดูกัน ดูแล้วอบอุ่นหัวใจดีค่ะ ดูจบแล้วก็เริ่มศรัทธาในความรักขึ้นอีกหนึ่งอีเอ

ปล. เรื่องนี้อลันริกแมนเล่นด้วยนะ จะได้เห็นเขาในบทบาทที่ต่างจากศาสตราจารย์สเนปในแฮร์รี่พอตเตอร์


อันที่ 7



No Strings Attached หยิบเรื่องนี้มาดูเพราะนาตาลี พอตแมนเล่น อีกอย่างซื้อแผ่นเรื่องนี้เพราะมันลดราคาเหลือสามแผ่นเก้าสิบเก้าบาทในบีทูเอส5555555555 แต่พอดูจบก็แบบว่า เฮ้ย! มันสนุกมากอ่ะ เรื่องนี้พล๊อตตลาดอีกเช่นกันค่ะ พระเอกนางเอกเป็นเพื่อนกันสมัยเด็กๆ แล้วต่างเป็นฝ่ายต่างก็เป็นมนุษย์ที่เข้าสังคมได้แย่พอกันทั้งคู่ แต่ด้วยเหตุการณ์พรมลิขิตบันดาลชักพาให้พาให้พวกเขาต้องกลับมาเจอกันในแบบตื่นขึ้นมาก็ เอ๊ะ! ฉันมาอยู่บนเตียงเธอได้อย่างไร หลังจากนั้นก็ ป๊าบ! อารมณ์คู่นี้คล้ายๆเซ็กซ์เฟรนด์นั่นล่ะค่ะ ไม่อยากผูกมันทางใจ แต่ก็นะคนเราอยู่ด้วยกัน นอนด้วยกันมันจะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร เอาเป็นว่าติดตามได้ในหนังเรื่องนี้ รับรองและคอนเฟิร์มว่าสนุกชัวร์!

อันดับ 6


Friend with Benefit พล๊อตคล้ายๆกับเรื่องข้างบนนั่นล่ะค่ะ ตลกโปกฮาพอกัน เอาเป็นว่าชอบทั้งสองเรื่อง!


อันดับ 5


Love & Other Drugs โรแมนติกดราม่า พล๊อตตลาด(อีกแล้ว) เริ่มจากเซ็กซ์และเปลี่ยนเป็นความรัก แต่อาจจะหน่วงหัวใจกันหน่อยๆ ตรงที่เรามารู้ว่านางเอกเป็นโรคที่รักษาไงก็ไม่หายอย่างพาร์กินสัน เนื้อเรื่องมีอะไรที่น่าติดตามตรงที่ว่า เมื่อพระเอกรู้อย่างนี้ จะรักนางเอกได้ต่อไปอย่างไร มันถึงได้ชื่อภาษาไทยที่ว่า ยาวิเศษที่ไม่อาจรักษารักฮั่นน่ะ! เรื่องนี้ก็รับรองว่าสนุกค่ะ ดราม่านิดหน่อยพอหอมปากหอมคอ


อันดับ 4


If I Stay สร้างจากนิยายขายดีอันดับหนึ่ง New York Time Best Seller ของ เกล เฟอร์แมน สำหรับเรื่องนี้ไม่ขอ สปอยอะไรใดๆทั้งสิ้น เพราะพวกเธอต้องไปดูเอง แนะนำให้พกทิชชู่ไว้ซักหนึ่งม้วน เปิดคอมแล้วนั่งดูซะ แล้วเธอจะรู้ว่า การได้มีคนที่รักและคนที่รักเรานั้นมีค่าแค่ไหน /ปาดน้ำตา
ปล. ดูแล้วน้ำตาไม่ไหลเราขอคาราวะคุณเลย เพราะคุณนั้นแข็งแกร่งมาก!

อันดับ 3


The Theory of Everything แนะนำให้เอากระดาษทิชชู่ที่เหลือจากเรื่องข้างบนมาใช้ต่อในเรื่องนี้ค่ะ!


อันดับ 2


The Fault in Our Star สร้างจากนิยายขายดีของจอห์น กรีน ซึ่งเป็นนักเขียนคนโปรดของเราอีกคนเลย คนเขียนคนเดียวกับเรื่อง Paper Town ซึ่งถูกนำมาสร้างเป็นหนังฉายเมื่อปีก่อนนี่เอง สำหรับTFIOS ขอยอมรับและขอมอบความรักของตัวเองให้กับเรื่องนี้เลย เป็นหนังที่เล่าถึงเด็กสาวคนหนึ่งที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งและได้พบกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งก็ป่วยเป็นโรคมะเร็งเช่นเดียวกัน ความผูกพันของทั้งสองคนเริ่มจากเพื่อน และเปลี่ยนเป็นความรัก เป็นหนังที่ไม่ได้มีเนื้อเรื่องแปลกอะไร แต่มันต่างกันออกไปที่เขาทำให้ระลึกอยู่เสมอว่าเขาทั้งสองเป็นมะเร็ง แต่ในทางเดียวกันหนังเรื่องนี้กลับเสนอออกมาได้อย่างน่าประทับใจตรงที่ว่า โรคร้ายนี้ไม่สามารถทำลายความสุขของคนทั้งสองคนได้ ทั้งๆที่คนสองคนนั้นต่างก็รู้ว่าจุดจบของพวกเขามักมาเร็วกว่าคนปกติ แต่เขาก็กลับเลือกที่จะใช้ช่วงเวลาเหล่านั้นได้อย่างคุ้มค่า ตรงเนี้ยล่ะที่เป็นตัวจุดประกายเล็กๆที่ให้กำลังใจคนดูอย่างเราอยู่ และตรงนี้นี่ล่ะที่ทำเราประทับใจจนมาถึงทุกวันนี้ ขอปรบมือให้กับหนังเรื่องนี้ค่ะ!





.


.


.




อันดับ 1


About Time ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้อีกกี่ครั้ง สิ่งที่มันถึงเวลาต้องไปมันก็ต้องไป ยื้อเอาไว้ก็มีแต่ตัวเรานั่นล่ะที่จะเจ็บปวด อันดับหนึ่งมาตลอดในใจสำหรับหนังเรื่องนี้ เป็นหนังที่ให้แง่คิดได้เยอะมาก ได้หลายมุมมาก มันไม่ใช่แค่หนังที่ย้อนเวลากลับไปเพื่อให้ได้แอ้มชะนี คือไม่ใช่เว้ย! ถ้าดูเอาเท่านั้นเราว่ามันน่าเสียดายมากเลยนะ! สำหรับเราแล้วหนังเรื่องนี้มันคือหนังครอบครัวที่มีพระนางเป็นตัวประกอบ ให้ดูจริงๆนี่ ต้องดูพ่อพระเอกกับตตัวของพระเอก เรื่องนี้มีประโยค เด็ดๆเยอะมาก ฟังแล้วสะเทือนจับใจกันเลยทีเดียว ดังนั้นแล้วไปดูเถอะ ใครสายคำคมนี่ควรไปดูมาก แต่ก็คิดว่าหลายคนคงดูแล้วล่ะ แต่ไม่เป็นไร ดูแล้วดูอีกก็ได้ เป็นหนังที่มีคุณค่ามาก เลอค่ามาก ไปดูค่ะ ไปดู!



จบการเขียนบล็อกแต่เพียงเท่านี้ 
สุขสันต์แฮปปี้วันวาเลนไทน์กันถ้วนหน้าค่ะ 

(ω)




วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Mockingjay Part 2 ; Oh my dear Miss Everdeen❤


"Ladies and gentlemen.....
Welcome to the Seventy-sixth Hunger Games!”
- Finnick Odair from Mockingjay Part 2



สิ้นสุดการรอคอย! จัดไปกับรอบหนึ่งทุ่มที่พาราก้อนมาเรียบร้อยแล้วสำหรับ Mockingjay Part 2 คนเยอะ แถวยาวเอี๊ยด ไม่ว่าจะแถวทิกเก็ตแมชชีน หรือตรงบ๊อกซ์ออฟฟิสก็ตาม สมกับเป็นหนังฟอร์มยักษ์แห่งปีอีกเรื่องหนึ่งก็ว่าได้ ไหนๆก็สร้างยาวมาจนถึงพาร์ทจบ บอกเลยว่า ใจหาย  นับๆดูแล้วเราก็อยู่กับหนังเรื่องนี้มาสี่ปีเต็มๆเลย ตั้งแต่เข้าเฟรชชี่ปีหนึ่งจนเป็นป้าแก่กำลังจะจบอยู่ปีสี่ พอมันเดินทางมาถึงจุดจบ เราก็รู้สึกโหวงๆในใจชอบกล อารมณ์เหมือนตอนอ่านหนังสือเล่มจบนั้นเลย แต่เอาเถอะ ภาษิตก็บอกอยู่แล้วว่า งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกลา จุดจบของอำนาจเผด็จการแบบสโนว์ ก็เช่นกัน

            สำหรับ Mockingjay Part 2 ยังขอชื่นชมความมืดมนของหนังที่ทำเชื่อมกับพาร์ทแรกได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย และยังคงชื่นชม เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ อยู่อย่างเช่นเดิม การแสดงของลอว์เรนซ์ยังคงมีมาตรฐานในแบบ แคตนิส เอเวอร์ดีน แบบตรงไปตรงมา ภาคนี้เราจะเห็นถึงความสับสนของแคตนิสในรูปแบบ ความถูกต้องกับ ความแค้นแต่เมือสองคำนี้มันมารวมกันอยู่ในตัวของคนๆเดียวนั้น ผลลัพท์มันก็เลยออกมาเป็นความ บ้าบิ่นแบบ แคตนิส เอเวอร์ดีนที่หลุดออกมาจากหนังสือ จนแล้วจนรอดตั้งแต่ภาคแรกมาถึงภาคสุดท้าย เราก็ยังพูดคำว่า ขอบคุณ ให้กับลอว์เรนซ์ ที่มารับบทเป็นเอเวอร์ดีนได้อย่างสมศักดิ์ศรีมากๆ เราแทบนึกไม่ออกเลยว่าถ้าคนอื่นเล่นแทน จะเล่นได้ดีเท่าเธอหรือเปล่า ขอชื่นชมจากใจจริง

You and I will be safe and sound
It takes ten times as long to put yourself back together as it does to fall apart
Finnick Odair

            โดยส่วนตัวแล้ว ในพาร์ทที่สองนี้ ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่กับการดำเนินเรื่อง หรืออาจจะเพราะเราอ่านหนังสือเลยคาดหวังว่าพาร์ทสองมันจะออกมาดีกว่าพาร์ทแรก แต่ผลลัพท์เราว่าไม่ต่าง เอาเป็นว่าเสมอกันไปละกัน วินๆกันทั้งสองพาร์ท แต่ถ้าจะคาดหาความพิเศษจากพาร์ทนี้ เรายังขอยกให้ กับดักในแบบฉบับของเกมล่าชีวิตในสองภาคแรก แม้จะมีน้อย แต่ก็พอให้กระชุ่มกระชวยหัวใจคอหนังแอคชั่นกันบ้างล่ะวะ พอแอคชั่นเสร็จก็วกมาดราม่าแบบปุบปับ เราก็แบบ โอเค๊! กลั้นน้ำตาไว้ หนึ่งสอง ฮึบ! จนจบเรื่อง และเพลง Deep In The Meadow ก็ดังขึ้น พร้อมกับเครดิต เป็นอันว่าจบอย่างสวยงาม

"Oh my dear miss Everdeen, i thought we agreed not to lie to each other"
- President Snow, Mockingjay Part 2
            ตอนแรกพอหนังจบ เรามีอะไรในหัวมากมายที่อยากเขียน แต่พอเอาจริงๆ มันก็จะกลายเป็นสปอยไป เราเลยคิดว่าคนที่อยากเข้าถึงแก่นแท้จริงๆของ THE HUNGER GAME ควรหาหนังสือมาอ่านมากกว่าดูหนัง ในหนังไม่สบอารมณ์เพราะรายละเอียดบางอย่าง ตัวละครบางตัว หรือแม้แต่ประโยคกินใจมันไม่ได้เกิดขึ้นมา อาจเพราะการถูกจำกัดในแบบของภาพยนตร์มันเลยสื่อได้ไม่หมดเท่ากับตัวหนังสือ ดังนั้นแล้ว ยังคงพูดย้ำแบบเดิมว่า ไปหาหนังสือมาอ่านกันเถอะเนอะ ขอสนับสนุนให้ทุกคนรักการอ่านค่ะ เยห์!
            มาจนถึงจุดจบของพาเน็มประเทศในแบบเก่า และกำเนิดใหม่ในรูปแบบพาเน็มประชาธิปไตย เราขอให้คะแนนแบบมาตรฐานเดิมเหมือนกับพาร์ทแรก 8/10 ค่ะ และขอขอบคุณ ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ ที่รับช่วงต่อจากแกร์รี่ที่สร้างภาคแรก จนมาถึงภาคจบ ขอขอบคุณจากใจจริงค่ะ


Deep in the Meadows 
by Katniss Everdeen (Jennifer Lawrence)

ปิดท้ายด้วยเพลงนี้ แต่เป็นเวอร์ชั่น 2012 ยังคงหาเวอร์ชั่นพาร์ทสองไม่ได้ 
รักนะคะ ❤