วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

โจนาสกับผู้ให้ ♥

"ย้อนกลับไป กลับไป และกลับไป"





มันก็ซักระยะแล้วนะที่อ่านหนังสือแล้วไม่ค่อยได้รู้สึกแบบนี้ มันเป็นความรู้สึกที่แบบว่ากินเข้าไปในใจ
เป็นอะไรที่อ่านแล้วติดอยู่ในหัว ติดจนเอามาคิดแล้วก็กลายมาเป็นติดปาก อย่างประโยคที่ว่า
ย้อนกลับไป กลับไป และกลับไป

โจนาสกับผู้ให้ หรือ The Giver คงได้ผ่านหูผ่านตาใครมาหลายคน แต่จะมีซักกี่คนที่สนใจจะหยิบยก
มันขึ้นมาอ่าน ยอมรับเลยว่าตอนแรก ที่เห็นหนังสือเล่มนี้วางอยู่บนชั้นหนังสือตามร้านไม่เคยคิดจะสนใจ
หรือแม้แต่ตอนช่วงงานหนังสือเมื่อต้นปีที่ผ่านมา หลายคนจะแนะนำ ให้ซื้อเรื่องนี้อ่าน แต่ก็ยังไม่สนใจ
จนกระทั่งได้เจอศิลปินทางฝั่ง อเมริกาทวิตเกี่ยวกับเรื่องนี้ และได้เอาตัวอย่างหนังเรื่อง “The Giver”
มาแปะไว้ในทวิตของเขา แล้วเราก็ได้มีโอกาสที่จะกดเข้าไปดู


 ความคิดแวบแรกที่เข้ามาในหัวจากการดูตัวอย่างหนังเรื่องนี้ก็คือดิสโทเปียแน่ๆ 
จากนั้นจึงเริ่มหารีวิวอ่าน ซึ่งในตอนนั้นหาอ่านได้แต่รีวิวที่เป็นหนังสือ จนกระทั่งผ่านไปสองอาทิตย์
มีบล็อกเกอร์ทางฝั่งอเมริกาได้อัพเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้เอาไว้ แล้วซึ่งมันทำให้เรารู้สึกว่า มันน่าสนใจ
จนท้ายที่สุดเลยต้องซื้อมาอ่านก่อนที่จะไปดูหนัง ฮ่าๆ

ในช่วงแรกๆของหนังสือเรื่องนี้ยอมรับเลยว่า “น่าเบื่อ” มันดูหม่นๆไปหมด จนกระทั่งเข้าประเด็นในตอนที่
โจนาสเข้าสู่อายุสิบสอง มันเริ่มรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้น่าค้นหามากขึ้น ซึ่งในหนังสือเล่มนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับว่า
เด็กในแต่ละช่วงอายุจะมีพิธีการ แตกต่างกันไป แต่จะสำคัญที่สุดคือช่วงอายุสิบสอง เป็นช่วงที่พวกเขาต้อง
เติบโตเป็นผู้ใหญ่ จะมีการแบ่งงานให้กับคนกลุ่มอายุสิบสองตามความถนัด ซึ่งแต่แล้ว แจ๊กพอทที่สิบๆปี
ไม่เคยมีใครแตก แต่ดันมาแตกที่โจนาส ซึ่งก็คือ “ผู้รับความทรงจำ” ซึ่งโจนาสนั้นต้องรับรู้เรื่องราวทั้งหมดของโลก
ต่อจาก “ผู้ให้” หรือ “The Giver” โดยตัวของโจนาสได้ตกไปเป็น “ผู้รับ

ซึ่งเรื่องดำเนินได้น่าสนใจตรงที่ว่า เขาคล่อยๆคลายปมเรื่องต่างๆออกมา ซึ่งที่เราชอบมากก็คือ
 “ความลับของโลกเสมือน” ซึ่งในตอนแรกเราไม่คิด เลยว่าหนังสือที่ดำเนินมาในช่วงแรกๆนั้นจะเป็น 
สีขาวดำ จนกระทั่ง มาเฉลยตอนที่เดอะกีฟเวอร์บอกกับโจนาสว่า “เธอกำลังเห็นสีแดง
ซึ่งนั่นทำให้เราแบบ ห๊ะอะไรวะ ! เราว่านี่ละคือสิ่งที่ดึงดูดดีๆจากหนังสือเล่มนี้

โจนาสเริ่มได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกว่าแท้จริงแล้วโลกที่เขาอยู่ในทุกวันนี้ มันคือการ “ควบคุม” ให้คน
เป็นเหมือนๆกันหมด แต่โจนาสก็ยังมองเห็น ถึงความดีและแย่ในระบบเช่นกัน อย่างว่าถ้าคนคิดแตกต่างไปจากนี้
ระบบกลุ่มคงจะวุ่นวายน่าดู แต่ถ้าไม่มีคนที่คิดจากต่างไปก็คงก็แย่น่าดูเช่นกัน

จนกระทั่งวันหนึ่งโจนาสได้รับรู้เรื่องราวของ “การปลดปล่อยอย่าแท้จริง วันนี้ทำให้โจนาสรู้สึกเจ็บปวดอย่าง
ที่คนอื่นไม่มีทางได้รู้สึก (การปลดปล่อยคืออะไรแนะนำให้ไปอ่านเอง อิอิ)
และแล้วเขาก็ได้ทำการวางแผนกับเดอะกีฟเวอร์เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา...

.
.
.


เล่าไปนี่สปอยเนื้อเรื่องไปเยอะมากนะแก ไปหาอ่านกันซะนะคะ หนังสือเซต The Giver นี้มีทั้งหมด 4 เล่มค่ะ
แนะนำให้ไปหาอ่านกันเนอะ นี่ยังอ่านไม่ครบทุกเล่มหรอกค่ะ อ่านไปแค่เล่มหนึ่งเล่มเดียว
แต่เดี๋ยวงานหนังสือเดือนตุลาฯนี้จะต้องซื้อสามเล่มที่เหลืออีกแน่นอน

โดยส่วนตัวคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตีเอาความเป็น ดิสโทเปีย ได้อย่างงดงามนะ คิดว่ามันตีแผ่ออกมา
ได้แยบยลกว่าเรื่องแนวแรงๆอย่างฮังเกอร์เกมส์เสียอีก แม้ระดับความนิยมจะไม่เท่า อาจจะเป็นเพราะ
เหตุมาจากมันเป็นวรรณกรรมสำหรับ เด็กประถมถึงมัธยมต้น เลยเอาความที่มันแยบยลใส่ลงไปเพื่อให้
มันซอฟท์ทางเนื้อหา แต่ถึงอย่างนั้น ในฐานะที่เรียนสังคม (อีกแล้ว55555555555555555555555555)
ก็จะบอกว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่เด็กสังคมอ่านคงจะดีพิลึกอ่ะ มันจะมองเห็นถึง 
การควบคุมคนให้เป็นเหมือนๆกัน’ มันคล้ายๆกับทฤษฎีจิตสำนึกร่วม ของอีมิล เดอร์ไคม์
ทุกคนรู้หมดว่าต้องทำอะไร ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องทำ หรือแม้แต่ภาษาที่ใช้ยังใช้เหมือนๆกันหมด หากใคร
พูดต่างไปจากนั้น ก็เปรียบคล้ายกับคนประหลาดไปซะอย่างนั้น ในหนังสือเล่มนี้ยังชี้ให้เห็น
ถึงความเป็นปึกแผ่นจากการอยู่ร่วมกันผ่านใต้กฎอีกด้วย หรือจริงๆจะมองผ่านทฤษฎีของกรัมชี่ก็ได้นะฉันว่า
แต่ไม่เอาดีกว่าขี้เกียจอธิบายละ เมื่อยมือ555555555555555555555555555555

เห้ยเด็กเอกพัฒฯจ๋า ลองไปหาอ่านกันนะ ไหมขอแนะนำค่ะ อิอิ

PS -- ประโยคที่ว่า ย้อนกลับไป กลับไป และกลับไป อยากรู้ว่ามีนัยยังไง
ไม่อธิบายหรอก ไปหาอ่านเอง ชีวิตนี้อยากอ่านหนังสือดีๆต้องลงทุนเว้ย!

ขอจบเอ็นทรีนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ละค่ะ
จิราพรถ่ายภาพ และจิราพรรายงาน
บัยยย 



วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

กีฮงลีที่เล่นเป็นมินโฮเว้ยแก!♡

เหยยยยยยยยยย เกิดอะไรขึ้นกับฉัน นี่สงสัยกับตัวเองนะคะ สงสัยจริงๆ ปกติไม่มีทาง
ที่จะมาอัพบล๊อกประติดประต่อกันได้แบบนี้แต่นี่ไม่มีทางเลือก

อัดอั้นค่ะ อัดอั้น!!!!!

แบบว่าไล่อ่านทวิต เข้าเฟสบุ๊ค บุกพันทิป ปลิดชีพไลน์สองสามวันที่ผ่านมา ทำไมมีแต่คนพูดถึงอีตามินโฮ
ในเดอะเมซรันเนอร์ จะอะไรกันขนาดนั้นแก๊!!!!! จากที่ว่าจะไม่ติ่ง ก็ติ่งแม่งซะเลย
เมื่อเอ็นทรี่ที่แล้วก็บอกไปแล้วค่ะว่าอีตาที่เล่นเป็นมินโฮเนี่ย เป็นคนเกาหลีค่ะ แต่อยู่แอลเอ
ชื่อจริงๆชื่อว่ากีฮงลี อายุยี่สิบสี่ีปี แต่จริงๆต้องบอกว่า นี่ไม่ใช่ผลงานเรื่องแรกที่ โอป้าคนนี้แสดงนะคะ


(cr. collider.com)

.
.
.


.
.


ก่อนจะแสดง The Maze Runner พี่แกได้ผ่านการปรากฏตัว อยู่ในซีรีย์สั้นๆของ Wong Fu Production
ใครที่ชอบดูยูทูปเชื่อว่าหลายคนคงรู้จัด Wong Fu กันเนอะ ฮี่ๆ ไอ้ตอนแรกที่เราไปดูเดอะเมซรันเนอร์
นี่บอกตรงๆว่าจำฮีไม่ได้นะ คือแบบในหนังฮีหล่อมาก ล่ำมาก แบบฮึ้ยยยยย! ไม่ใช่แบบที่
เคยดูในมินิซีรีย์อ่ะ 55555555555555555555555555555555


ต่อค่ะ กีฮงลี ได้ปรากฎตัวในวิดิโอสั้นๆของ Wong Fu ที่ชื่อว่า Take It Slow ค่ะ ได้เล่นคู่กับวิคตอเรียปาร์ค

ชะนีชาวเกาหลีอีกเช่นกัน อ่ะ จะแปะลิงค์ในยูทูปให้ไปดูละกัน


ต่อมาค่ะ พี่แกได้ปรากฎตัวมาในมินิซีรีย์ของ Wong Fu อีกเช่นกัน ในเรื่อง Away We Happen
เกร้ดดดดดดดดดดดดดดดดดด ใครเคยดูเรื่องนี้บ้าง ยกมือดิ๊ๆๆๆๆ โหยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ฉันชอบเรื่องนี้มากแกไม่อยากจะเซด วิคเตอร์คิมเล่นเลยนะเว้ย วิคเตอร์คิมอ่ะ รู้จักป่ะ เควสครูวอ่ะ
รู้จักป่ะ รู้จักป่าวววววววววว เออ‼! นักเต้นแชมป์อเมริกันเบสแดนซ์ครูวซีซั่นสามนั่นล่ะ
เท่เนอะ ฉันชอบ 55555555555555555555555555555555

กลับมาๆๆ ในเรื่องนี้ฮีเล่นเป็นเพื่อนกับวิคเตอร์ค่ะ ปรากฎอยู่ใน EP 3 และ 6 ของเรื่อง เดี๋ยวแปะลิงค์ให้อีก
แต่แนะนำให้ดูตั้งแต่ตอนแรกจะดีกว่า เพราะเรื่องนี้น่ารักจริงๆ สะมะกิงกุ่งไก่ สะมะไก่กุ๊งกิ๊ง งุ้งงิ้งๆ 



แปะเอาไว้นี่คือ ตอนที่สามและหกนะคะ ส่วนใครอยากดูเต็มเรื่อง จะทิ้งลิงค์ที่เป็น Playlist ไว้ให้
-- 'Away We Happened' Click Here! กดดูได้เลยค่ะ ฮี่ๆ

จริงๆแล้วฮีปรากฎอยู่ในวิดีโอของ Wong Fu หลายตัวอยู่นะ มีเรื่อง Somewhere Like This 
อันนี้เล่นกับริวค่ะ ไม่ใช่ริวจิตสัมผัสนะแก ริว โรเบิร์ตริวที่เป็นยูทูปเบอร์อ่ะ ตี๋ๆหน่อย ใสๆ
อ๊ายยยย สเป็กค่ะ อ่ะต่อ! Drunk Call Chronicles - To Those Night อันนี้พี่แกเล่นร่วมกับจัสติสฉ่อน
หรือพี่ฉ่อนสุดเกรียนนั่นล่ะ แล้วก็มี She Has A Boyfriend  อันนี้ออกคอมมะดี้น่ารักดีค่ะ เป็นเรื่อง
ที่แบบฮีชอบชะนีนางไหน ชะนีนางนั้นก็มีแฟนตล๊อดดดด ตลกดี ขำๆ

อ่าาา แล้วกีฮงลีโอปป้านี่มีช่องยูทูปเป็นของตัวเองมั้ย? อันนี้ก็จะตอบว่า มีค่ะ แปะลิงค์อีกรอบ
เอ้า! กดซะชะนี! นั่นล่ะค่ะ อันไหนที่เป็นลิงค์กดได้หมดค่ะ ไม่ดัก555555555

แถมให้อีกอย่างอ่ะ แฟนเพจพี่แกเค้า กดซะแก ! กดเว้ยกด!

ก่อนจะจากกันไป ก็ขออวดแฟนตัวจริงซักหน่อย
อ่ะๆๆ อวดๆๆๆ แปะๆๆ ดิแลนโอไบรอันค่ะ  ❤ 

(cr. collider.com)





วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557

เมซที่แปลว่าเขาวงกตน่ะหรอ?!

"The Maze Runner เปิดตัวอันดับ 1 ที่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ไต้หวัน ถล่มรายได้ 200 ล้านบาท"

อืมหืมมมม.. ขนาดนั้นเชียว 555555555555555 หลอกๆๆๆนะเว้ยแก แซวเล่นเฉยๆ จริงๆแล้ว
นี่คือไบแอสแฟนตัวยงเลยล่ะ ฮี่ๆ ((ΦωΦ)) ไม่รู้ทำไมแต่ปลาบปลื้มมากตั้งแต่หนังยังไม่เข้าโรง
พอเห็นพาดหัวสองร้อยล้านแล้วปราบปลื้มมมมมม ประหนึ่งเหมือนตัวเองเป็นนักแสดงค่ะ เกร้ดดดดด!
บอกแล้วว่าคนนี้คือไบแอสแฟนค่ะ ฮ่า‼‼‼‼‼‼‼‼!

เตือนไว้เลยใครมาอ่านบล็อกนี้จงรู้ไว้ว่านี่ชอบอวย อวยได้อวยดีด้วย อวยแบบหลายคนอาจหมั่นไส้ ฮ่าๆ
แล้วทำไมต้องอวยเรื่องนี้เป็นพิเศษหน่ะหรอ หึหึ บอกได้คำเดียวว่า “นักแสดง”555555555555555555
แน่นอนค่ะ นี่ติ่งซีรีย์เอ็มทีวี ไม่ต้องบอกก็รู้กันป่ะว่าเรื่องไหน ทีนวูฟค่ะ ทีนวูฟ รู้จักป่ะ ทีนวูฟอ่ะแก!
รู้ยัง? ว่าไบแอสคนไหน ?‼‼! เออออออออออออออออ ดิแลนค่ะ ดิแลน โอไบรอัน สุดที่รักค่ะ 
แบบจะร้องไห้ มายฟีลลิ่งประหนึ่งได้กรี๊ดโอปป้า55555555

เอาเถอะเว้ยแก กลับมาเข้าประเด็นจริงๆเถอะนะ (())


แบบว่าวันนี้ก็ได้ไปดู The Maze Runner มาเรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้สร้างมาจากนิยายเนอะ หลายๆคนคงรู้ดี
แปลไทยครบสี่เล่มแล้ว ขอออกตัวแรงๆอีกหนึ่งทีนะคะ “นี่เป็นไบแอสแฟนนิยายเรื่องนี้ค่ะฮ่าๆ

ก็บอกแล้ว เอ็นทรี่นี้เน้นการอวยค่ะ อวยได้อวยดี อวยมันเข้าไป (;)!

 

แต่ที่จะพูดไป ไม่ขอเน้นการเปรียบเทียบระหว่านิยายกับหนังนะ เพราะบอกเลยว่าถ้าจะเอาหนังสองชั่วโมง
มาเทียบกับหนังสือ ที่ตีพิมพ์สามร้อยสี่ร้อยหน้า มันคงจะเฟลแน่ๆ อันนี้แฟนนิยายคงรู้กันดี

ใครที่เป็นแฟนหนังอย่างThe Hunger Games , Divergent หรือพวกไซไฟ บอกเลยว่า
เรื่องนี้ไม่ควรที่จะพลาด เนื้อเรื่องโอเค ตัวละครเด่น และซีจีถือว่าดี

เรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร? อืมมม เรื่องนี้มันจะว่าเป็น ดิสโธเปียเลยก็ได้นะ ก็คล้ายๆกับฮังเกอร์เกมส์นั่นล่ะ
เน้นเรื่องของการสร้างโลกใหม่ โดยผ่านจุดที่ มีความโหดร้าย และรุนแรงอันเป็นองค์ประกอบ
แต่จะไม่ขอเน้นพูดในเรื่องทางสังคมละกันนะ เดี๋ยวจะเบื่อเปล่าๆ นี่เรียนสังคมไง
เวลาดูหนังเลยชอบมองเรื่องพวกนี้เป็นหลัก แหะๆ

เรื่องนี้คือ เอาเด็กมาทดลอง โดยทุกๆเดือนจะส่งเด็กวัยรุ่นมาที่ท้องทุ่ง เดือนละคน จนกระทั่งส่งโทมัสเข้ามา
เรื่องมันก็เลยเริ่มเข้มข้นขึ้น ด้วยความที่โทมัสเป็นบุคคลที่ช่างสงสัย เนี่ยล่ะคือจุดประเด็นของเรื่องทั้งหมด
จะไม่ขอเล่าว่ามันเป็นอย่างไรต่อ เพราะมันมีจุดหักมุมอยู่หลายจุด จะไม่เล่า แต่ต้องไปดูเองนะ ฮ่าๆ

เห็นหลายคนกรี๊ดคนที่เล่นเป็นมินโฮ นี่ก็แอบกรี๊ดเล็กๆนะ เพราะหน้าตาคมเข้มใช้ได้ ตอนแรกนึกว่าไม่ใช่
คนเกาหลีจริงๆ เพราะหน้าพี่แกออกไปแนวจีนซะมากกว่า แต่พอไปเสิรช์ดูอ้าวเกาหลีจริงๆ
พี่แกชื่อกีฮงลี อายุยี่สิบสี่แล้ว อืมมมมมมมมม แซ่บใช้ได้ แต่สู้ดีแลนกับโทมัสของข้ามิได้หรอก ครุคริ

ไปนอกโลกอีกล่ะ กลับมา! ในเรื่องนี้ฉากที่ประทับใจมากสุดๆก็คงจะฉากวิ่งนั่นล่ะ
ภาพสวยมาก มุมสวยจริงๆ โดยเฉพาะตอนที่มินโฮกับโทมัส วิ่งฝ่าวงกตที่เป็นมีด ภาพตอนนั้นคือสวยมาก
ชอบมาก นี่ดูแล้วลุ้นจริงๆ จากนั่งพิงติดเบาะต้องลุกมานั่งหลังตรงเลยนะเหวยยยยยยยยย‼‼‼!


.
.
.

เปล่าหรอก จริงๆแล้วนี่เมื่อย55555555555555555 ตัลโหลกป่ะ?! อนุญาติให้ตบค่ะ5555555555555555
โทดๆๆ อยู่ในช่วงฟีลอารมณ์ดี5555555555555555 คือเอาดีๆ นั่นภาพสวยจริงๆค่ะ นักแสดงก็หน้าตาดี
เหมาะสมค่ะ อยากให้สิบเต็มเพราะนักแสดงมากค่ะ แต่ก็แบบอีนี่โคตรลำเอียง อะไรแบบนี้ (นี่ยังไม่ลำเอียง?)
5555555555555555555555555555555555555555

เรื่องนี้ให้ 9/10 ค่ะ หักเพราะดิแลนมันโทรม... เออจริงๆ หักเพราะดิแลนโทรม เลยโดนมินโฮแย่งซีนเยอะอ่ะแกร๊
ถถถถถถถถถถถถถถถ....(ٱ٥ٱ)



จบเถอะ5555555555555555555555555
(`)






วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2557

ลูซี่ขยี้โลก'♪

สวัสดีค่ะ สวัสดี! วันนี้วันจันทร์วันดีวันมีเรียน. ค่ะ แต่ถึงอย่างนั้นวันนี้ก็มีเรียนแค่ครึ่งวันนะ
เพราะตอนบ่ายยกเลิกคลาสหมด ดีเฟ่อ! เย้!



ย้อนกลับลูกตาไปสาดส่องดูหัวข้อกันซักกะติ๊ดจะเห็นว่ามันชื่อ "ลูซี่ขยี้โลก" อย่าเพิ่งงงว่ามันคืออะไร
ตอนนี้เราก็ต้องอิงกระแสภาพยนตร์กันซักนิดหน่อยและเป็นที่แน่นอนว่า ภาพยนตร์มาแรงแหกโค้ง
คงหนีไม่พ้น LUCY ! ใช่แล้ว วันนี้เราก็ได้ไปดูมาแล้วค่ะ หลังจากที่ทนอ่านสปอยในพันทิปมาสองวัน
ก็ทนไม่ได้ จนเพื่อนมาชวนดูเลยรีบตอบตกลงแบบไม่คิด แต่ก็รู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่ได้ดูพากย์ไทย
เพราะที่พิษณุโลกไม่มีหนังซาวด์แทรกให้ดู  ถ้าจะมีก็แค่บางเรื่องและไอ้บ้างเรื่องพวกนี้ก็อยู่รอบ

แบบมิดไนท์เลย เสียใจ T^T




เอาละ เข้าประเด็นกันเลยดีกว่า ! ก็ถ้าใครได้อ่านสปอยกันมา ก็จะรู้กันอยู่แล้วว่า ลูซี่เป็นหนังไซไฟเชิงปรัชญา
อืมหืมมมม แต่สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจเป็นพิเศษคือ มันไม่ใช่หนัง ที่เน้นในเรื่องของแอคชั่น
บางคนอาจจะติดรูปแบบหนังไซไฟแอคชั่นจ๋าแต่สำหรับเรื่องนี้บอกได้เลยว่า ฉากแอคชั่น
เหมือนเป็นฉากประกอบไปซะงั้น ซึ่งหนังเรื่องนี้เนี่ยการดำเนินเรื่อง เป็นอะไรที่มันน่าประทับใจ
สำหรับเรามากนะ ถึงแม้ตัวเราจะไม่ได้มี ความรู้อะไรในเรื่องของพวกปรัชญาหรือวิทยาศาสตร์มากมาย
แต่พอดูมันก็ทำให้รู้สึกชอบขึ้นมาซะงั้น



ในขณะที่กำลังดูอยู่ ก็พยายามเก็บรายละเอียดต่างในหนังให้มากที่สุดนะ พอเรื่องดำเนินมาได้เกือบครึ่งเรื่อง
สิ่งหนึ่งที่แว่บเข้ามาในหัวอย่างหนึ่งคือเรื่องนี้มันเสียดสีความเป็นมนุษย์ด้วยหรือเปล่าวะ? อืมมมม นั่นคือสิ่งที่คิด
ตอนหนังมันดำเนินมาถึงครึ่งเรื่อง แต่พอเข้าตอนไคล์แม๊คจนถึงตอนจบ ของเรื่อง
แถมตอนสุดท้ายได้ทิ้งวลีเด็ดๆไว้หนึ่งวลีคือ
"มนุษย์ถูกสร้างขึ้นเมื่อหลายพันล้านปีก่อน วันนี้คงรู้แล้วนะว่าจะใช้มันเพื่ออะไร"
โอ้โว้ว! นี่แทบจะตบเก้าอี้ข้างหน้าแล้วชี้หน้าจอหนัง พยายามหันซ้ายหันขวา มองเพื่อนตัวเอง
แล้วอยากเม้าท์มอยมาก เห็นมั้ยแก! เห็นมั้ย!
ความรู้สึกเหมือนถูกหลอกให้ตายใจพอหันกลับมาแล้วกลายเป็นคนที่ถูกตบอ่ะ

คือตั้งข้อสังเกตมาตั้งแต่สิ่งที่ลูซี่พูดถึงเรื่องของมนุษย์สร้างสิ่งต่างๆขึ้นมา การเดินทางผ่านกาลเวลา
หรือแม้แต่ธรรมชาติที่สร้างเรามา บลาๆๆ  มันทำให้นึกถึงทฤษฎีที่เคยเรียนมานิดหน่อย
บวกกับการมโนไปเองอีกซัก 10% ของสมอง ฮ่าๆ เลยรู้สึกเหมือนเรื่องนี้จะพยายามสื่อในสิ่งที่ว่า
มนุษย์ควรที่จะใช้ความสามารถของสมองไปในไดเรคชั่นไหน แล้วหนังเรื่องนี้ก็เหมือนสะท้อนผ่าน
ตัวละครอย่างลูซี่อีกว่าเธอเลือกที่จะ เอาสิ่งที่เธอได้มาคือ ศักยภาพสมอง100%เต็มของเธอมาถ่ายทอดต่อไป

พอดูจบเราก็หันกลับมาถามตัวเองอีกครั้งว่า ถ้ามีศักยภาพทางสมองขนาดนั้น 
เราจะทำแบบลูซี่หรือเปล่า 
นี่ก็พยายามถามตัวเองตั้งแต่บนรถแท็กซี่จนถึงหอ สุดท้ายก็ได้คำตอบว่า 
"ฉันคงไม่มีศักยภาพของสมองถึงขนาดนั้นหรอก"
555555555555555555555555555555555555555555555

เอาละดำเนินมาถึงตอนท้ายของการอัพบล็อกละแก หนังเรื่องนี้ถ้าเต็มสิบ
ให้อยู่ใน 6/10 ส่วนตัวบอกเลยชอบดูหนังแนวนี้อยู่แล้ว
แต่ที่ไม่ให้เต็มสิบเพราะเหตุส่วนตัวตรงที่ว่าตัวละครมันดูเฟ้อเกินไป
ตัวที่คิดว่าควรจะเด่นก็ไม่ได้เด่นถึงขนาดนั้น เลยขอหักตรงนี้ไปนิดนึง
แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องบอกว่าชอบ ชอบจริงๆ แนะนำให้ดูค่ะ

ต้องดูนะ ต้องดู!

เอาละ วันนี้ก็พอแค่นี้ละ แล้วเจอกันใหม่เอนทรี่หน้า

เยิฟๆ