วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Mockingjay Part 2 ; Oh my dear Miss Everdeen❤


"Ladies and gentlemen.....
Welcome to the Seventy-sixth Hunger Games!”
- Finnick Odair from Mockingjay Part 2



สิ้นสุดการรอคอย! จัดไปกับรอบหนึ่งทุ่มที่พาราก้อนมาเรียบร้อยแล้วสำหรับ Mockingjay Part 2 คนเยอะ แถวยาวเอี๊ยด ไม่ว่าจะแถวทิกเก็ตแมชชีน หรือตรงบ๊อกซ์ออฟฟิสก็ตาม สมกับเป็นหนังฟอร์มยักษ์แห่งปีอีกเรื่องหนึ่งก็ว่าได้ ไหนๆก็สร้างยาวมาจนถึงพาร์ทจบ บอกเลยว่า ใจหาย  นับๆดูแล้วเราก็อยู่กับหนังเรื่องนี้มาสี่ปีเต็มๆเลย ตั้งแต่เข้าเฟรชชี่ปีหนึ่งจนเป็นป้าแก่กำลังจะจบอยู่ปีสี่ พอมันเดินทางมาถึงจุดจบ เราก็รู้สึกโหวงๆในใจชอบกล อารมณ์เหมือนตอนอ่านหนังสือเล่มจบนั้นเลย แต่เอาเถอะ ภาษิตก็บอกอยู่แล้วว่า งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกลา จุดจบของอำนาจเผด็จการแบบสโนว์ ก็เช่นกัน

            สำหรับ Mockingjay Part 2 ยังขอชื่นชมความมืดมนของหนังที่ทำเชื่อมกับพาร์ทแรกได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย และยังคงชื่นชม เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ อยู่อย่างเช่นเดิม การแสดงของลอว์เรนซ์ยังคงมีมาตรฐานในแบบ แคตนิส เอเวอร์ดีน แบบตรงไปตรงมา ภาคนี้เราจะเห็นถึงความสับสนของแคตนิสในรูปแบบ ความถูกต้องกับ ความแค้นแต่เมือสองคำนี้มันมารวมกันอยู่ในตัวของคนๆเดียวนั้น ผลลัพท์มันก็เลยออกมาเป็นความ บ้าบิ่นแบบ แคตนิส เอเวอร์ดีนที่หลุดออกมาจากหนังสือ จนแล้วจนรอดตั้งแต่ภาคแรกมาถึงภาคสุดท้าย เราก็ยังพูดคำว่า ขอบคุณ ให้กับลอว์เรนซ์ ที่มารับบทเป็นเอเวอร์ดีนได้อย่างสมศักดิ์ศรีมากๆ เราแทบนึกไม่ออกเลยว่าถ้าคนอื่นเล่นแทน จะเล่นได้ดีเท่าเธอหรือเปล่า ขอชื่นชมจากใจจริง

You and I will be safe and sound
It takes ten times as long to put yourself back together as it does to fall apart
Finnick Odair

            โดยส่วนตัวแล้ว ในพาร์ทที่สองนี้ ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่กับการดำเนินเรื่อง หรืออาจจะเพราะเราอ่านหนังสือเลยคาดหวังว่าพาร์ทสองมันจะออกมาดีกว่าพาร์ทแรก แต่ผลลัพท์เราว่าไม่ต่าง เอาเป็นว่าเสมอกันไปละกัน วินๆกันทั้งสองพาร์ท แต่ถ้าจะคาดหาความพิเศษจากพาร์ทนี้ เรายังขอยกให้ กับดักในแบบฉบับของเกมล่าชีวิตในสองภาคแรก แม้จะมีน้อย แต่ก็พอให้กระชุ่มกระชวยหัวใจคอหนังแอคชั่นกันบ้างล่ะวะ พอแอคชั่นเสร็จก็วกมาดราม่าแบบปุบปับ เราก็แบบ โอเค๊! กลั้นน้ำตาไว้ หนึ่งสอง ฮึบ! จนจบเรื่อง และเพลง Deep In The Meadow ก็ดังขึ้น พร้อมกับเครดิต เป็นอันว่าจบอย่างสวยงาม

"Oh my dear miss Everdeen, i thought we agreed not to lie to each other"
- President Snow, Mockingjay Part 2
            ตอนแรกพอหนังจบ เรามีอะไรในหัวมากมายที่อยากเขียน แต่พอเอาจริงๆ มันก็จะกลายเป็นสปอยไป เราเลยคิดว่าคนที่อยากเข้าถึงแก่นแท้จริงๆของ THE HUNGER GAME ควรหาหนังสือมาอ่านมากกว่าดูหนัง ในหนังไม่สบอารมณ์เพราะรายละเอียดบางอย่าง ตัวละครบางตัว หรือแม้แต่ประโยคกินใจมันไม่ได้เกิดขึ้นมา อาจเพราะการถูกจำกัดในแบบของภาพยนตร์มันเลยสื่อได้ไม่หมดเท่ากับตัวหนังสือ ดังนั้นแล้ว ยังคงพูดย้ำแบบเดิมว่า ไปหาหนังสือมาอ่านกันเถอะเนอะ ขอสนับสนุนให้ทุกคนรักการอ่านค่ะ เยห์!
            มาจนถึงจุดจบของพาเน็มประเทศในแบบเก่า และกำเนิดใหม่ในรูปแบบพาเน็มประชาธิปไตย เราขอให้คะแนนแบบมาตรฐานเดิมเหมือนกับพาร์ทแรก 8/10 ค่ะ และขอขอบคุณ ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ ที่รับช่วงต่อจากแกร์รี่ที่สร้างภาคแรก จนมาถึงภาคจบ ขอขอบคุณจากใจจริงค่ะ


Deep in the Meadows 
by Katniss Everdeen (Jennifer Lawrence)

ปิดท้ายด้วยเพลงนี้ แต่เป็นเวอร์ชั่น 2012 ยังคงหาเวอร์ชั่นพาร์ทสองไม่ได้ 
รักนะคะ ❤



วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Crimson Peak (●’Д’●)!



Love is blind
ความรักทำให้คนตาบอด


จ่อคิวมาติดๆกับ Crimson Peak ปราสาทสีเลือด โดยส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบดูหนังผีค่ะ ยิ่งถ้าให้ไปดูคนเดียวยิ่งหัวหด แต่ด้วยอะไรดลใจไม่รู้จริงๆ ถึงได้นำพาตัวเองไปดูเรื่องนี้แบบคนเดียวแล้วรอบหนึ่งทุ่มด้วยค่ะ โอ้มายก๊อด! สงสัยความแฟนเกิร์ดพี่ทอมจะเข้าสิงให้ดิฉันทำตัวแบบนี้ ความติ่งนี่มันจริงๆเหลยยยย!

สำหรับเรื่องนี้ ไม่มีอะไรมาก ตูดพี่ทอมพีคสุดแล้วค่ะ! ʘ) ฮ่าๆ ย้อเย้นนนน! แต่ไหนๆก็มาซะขนาดนี้ ขอใส่กิฟเป็นส่วนปลากรอบหน่อยเถอะ (ต้องใส่เรทไหม 18+งี้ เออออออ!)


Credit : http://themuse.jezebel.com



คำเตือน : มีสปอยนะตัวเอง

เอาดีๆล่ะ โอเค! สำหรับ Crimson Peak ในตัวบทของเรื่อง บอกเลยว่าพล๊อตตลาด หาอ่านได้ตามแผงหนังสือ เหมือนนิยายรักที่ใส่ผีเข้าไปเป็นส่วนประกอบ เหมือนกับที่อีดิธ นางเอกของเรื่องพูดเอาไว้ว่า ผีเป็นแค่อุปมาอุปมัย ซึ่งเราว่าคนเขียนบทคงพยายามจะบอกเราว่า เออ! หนังเรื่องนี้อย่าคาดหวังว่าผีจะมีบทบาทเยอะอะไรเลยหล่อน แค่ออกมาชี้นู่นชี้นี่ก็พอแย๊ะ เออออออออ.. ประมาณเช่นนี้แล (คิดไปเองอีกแล้ว555555555555)
เราไม่ค่อยเป็นคอหนังแนว Horror ซักเท่าไหร่ แต่สำหรับหนังสือแล้วเราอ่านแนวๆเหนือธรรมชาติแบบนี้บ่อย เราก็เลยขอชมเรื่องนี้นิดหนึ่งที่ทำให้เราหวนนึกกลับไปถึงสมัยตอนอ่านหนังสือเรื่อง Immanuel's Veins เป็นนวนิยายที่องค์ประกอบคล้ายๆกับหนังเรื่องนี้ ความคลาสสิกแบบแนวโกธิกผนวกกับความหลอนที่ไม่ได้สั่นประสาทเหมือนหนังผีแนวผลุบๆโผล่ๆตุ้งแช่ไปเรื่อย ถือว่าเป็นความหลอนแบบระดับกลางๆ ที่คนขี้กลัวอย่างเราสามารถดูได้แบบนั่งอโลนอยู่กลางแถว G ณ โรงหนังสกาล่าได้
ในตัวเรื่องนั้น ที่บอกว่าพล๊อตตลาด ส่วนหนึ่งคือเราสามารถเดาเนื้อเรื่องได้ และก็คิดอยู่แล้วว่าตั้งแต่ต้นเรื่องน่ะ คุณลูซิลล์ ชาร์ป (เจสสิก้า แคสเทียล) พีสาวของคุณโธมัส ชาร์ป (ทอม ฮิดเดิลสตัน) เขาไม่ธรรมดา คือคิดว่าการแสดงของเจสสิก้านี่บอกตั้งแต่ฉากแรกที่เธอปรากฏตัวมาอยู่แล้วว่า เธอมีลับลมคมนัยอะไรซักอย่าง มันก็พอจะผูกปมได้ แล้วเนื้อเรื่องก็เลยดูน่าติดตามมากยิ่งขึ้น แต่เอาจริงๆก็พอจะเดาได้จากช่วงต้นๆเรื่องแล้วว่าคุณสองพี่น้องนี้เขาไม่ได้มีรีเรชั่นชิปแบบพี่น้องธรรมดาแน่นแน่! แล้วพอเฉลยปมเราก็แทบจะลุกขึ้นแล้วตะโกนออกมาว่า เห็นไหม!นึกไว้แล้วเชียว! วุ้ย!
ในความตัวละครเรื่องนี้ เราบอกได้คำเดียวว่า นางเอกของเรื่องเหมาะกับวาทกรรมที่ว่า ความรักทำให้คนตาบอดเราพยายามที่จะสวมตัวเองลงบทบาทของสาวน้อยผู้คลั่งรักอย่างอีดิธนะ แต่เราก็ทำไม่ได้จริงๆ คือถ้านึกถึงหลักความเป็นจริง เห็นบ้านแบบผุพัง แมลงตายเกลื่อนกลาดอยู่หน้ากระจกขนาดนั้น แถมมีเงาแว๊บๆเดินผ่านไปผ่านมาตั้งแต่วันแรกที่เข้าบ้าน ถามจริง มันจะมีใครกล้าอยู่หรอ เออ เราก็เลยคิดว่า ความรักมันทำให้คนตาบอดจริงๆนั่นล่ะ โถ่ แม่คุณจ๋า

ถ้าเราให้คะแนนความติ่งและฟินแบบแฟนเกิร์ดพี่ทอมแล้ว เราขอให้เต็มสิบเลยละกัน เราชอบ ฮ่าๆ แต่ก็ไม่ได้ไง เราต้องวางตัวเดินทางสายกลาง ไม่โอนเอียงต่อสิ่งใด (แม้ตูดพี่ทอมจะกระชากใจเราไปแล้วก็ตาม) เราขอให้คะแนนอยู่ที่ 7/10 ค่ะ ฉากสวยนะ แต่เนื้อเรื่องเดาง่ายไปนิด พีคไม่สุดอย่างที่คิด ปมเหมือนจะถอดแบบลวกๆ เหมือนเหตุและผลยังไม่ค่อยสอดคล้องกันอยู่ (หรือคิดไปเองอีกแล้วก็ไม่รู้) แต่เอาเถอะ บอกแล้วความเป็นติ่งให้อภัยได้หมด ฮ่าๆ


ปล. เมื่อวานได้ไปดู The Little Prince รอบ Sneak Preview ของ Amarin TV มา เดี๋ยวจะมารีวิวเอ็นทรี่หน้าละกัน



วันนี้ขอลาแต่เพียงเท่านี้ค่ะ บัยยยยย ( ´ ▽ ` )


วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Think a happy thought! - PAN, 2015


Just think of happy things, and your heart will fly on wings,
forever, in Never Never Land!
― J.M. Barrie, Peter Pan: Fairy Tales


            คิดถึงสิ่งที่เราสุขใจ ประโยคนี้ได้ถูกกล่าวเอาไว้ในปีเตอร์แพนฉบับการ์ตูนของวอล์ทดิสนีย์ เชื่อว่าหลายๆคนคงจำประโยคนี้กันได้ มันปรากฏอยู่ในฉากก่อนที่ปีเตอร์จะพาเวนดี้บินไปยังเนเวอร์แลนด์! Yeah! ต้องบอกก่อนเลยว่า ปีเตอร์แพนเป็นวรรณกรรมเยาวชนอมตะที่กล่าวขึ้นมาน้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก วรรณกรรมเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นโดย J.M. Barrie (เจ. เอ็ม. แบร์รี่) นักเขียนชาวสก็อตแลนด์ ซึ่งแท้จริงแล้ว ปีเตอร์แพนนั้น ถูกปรากฏอยู่ในวรรณกรรมเรื่อง The Little White Bird ซึ่งเป็นวรรณกรรมของผู้ใหญ่ แต่หลังจากนั้นได้ทำเรื่องแยกเรื่องออกมาในช่วงปี 1906 โดยมีชื่อเรื่องว่า Peter Pan in Kensington Gardens นั่นเอง แต่หลังจากนั้นได้มีการทำละครเวทีช่วงปี 1904 ในกรุงลอนดอน โดยใช้ชื่อว่า Peter Pan หรือ The Boy Who Wouldn't Grow Up และต่อมาในปี 1911 ได้ถูกดัดแปลงเป็นวรรณกรรมที่ชื่อว่า “Peter and Wendy” และโด่งดันจนมาถึงปัจจุบันนี้เอง (อ้างอิง : https://en.wikipedia.org/wiki/Peter_Pan )

            ในประเทศไทยเราเองนั้นก็ได้แปลเรื่องปีเตอร์แพนหลากหลายสำนักมาก ซึ่งอันนี้ไม่ทราบจริงๆว่าสำนักพิมพ์ไหนได้เป็นผู้ริเริ่มนำเข้ามาเป็นสำนักแรก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วหากใครอยากอ่านฉบับแปลจากต้นฉบับของแบร์รี่แล้ว ขอแนะนำหนังสือจากสำนักพิมพ์ สร้างสรรค์บุ๊คส์เรื่อง ปีเตอร์ แพน (ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2546) แต่ว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่วันก่อน ได้เข้าร้านหนังสือก็ได้เจอกับหนังสือของสำนักพิมพ์ แพรวเยาวชนซึ่งนำมาแปลใหม่ ก็หาซื้อกันได้เนอะ หากใครอยากอ่านกัน


            เอาล่ะ ! มาเข้าเรื่องกันดีกว่า เมื่ออาทิตย์ก่อน ได้มีโอกาสไปดูเรื่อง PAN มา! ตื่นตาตื่นใจมากเลยทีเดียว ตื่นเต้นด้วย เนื่องจากโดดงานไปดู (จุ๊ๆ) เรื่องนี้ขอจัดเข้าเป็นอีกหนึ่งเรื่องโปรดเลยละกัน โดยส่วนตัวคือชอบ ชอบความแฟนตาซี ชอบซาวด์ประกอบ ชอบเพลงที่มันทำให้รู้สึกฮึกเหิม  แม้เราจะรู้สึกขัดใจกับเนื้อเรื่องที่มันหลวมไปหน่อยก็ตาม ตัดต่อไม่เนียนไม่สมกับเป็นหนังฟอร์มยักษ์เลย แต่โดยรวมคือชอบนะ ชอบมากด้วย ทว่านี้ขอยกความดีความชอบให้กับ ฮิวจ์ แจ๊คแมน ที่แต่งเป็นแบล็คเบียร์ด ซะจนเราจำไม่ได้เลยว่านี่คือวูฟเวอรีนจริงๆหรือ ถือว่าเด็ดที่ตัวละครอีกหนึ่งตัวเลยละกัน และที่ขาดไม่ได้เลยคือตัวเด่นของเรา ปีเตอร์ไม่ทราบนามสกุล เด็กกำพร้าผู้ค้นพบว่าตัวเองบินได้หลังถูกจระเข้ฟาดหางไปหนึ่งที (สปอยซะงั้น)
ในเรื่อง PAN นี้ เป็นเรื่องเล่าก่อนหน้าจะมาเป็น PETER PAN โดยเป็นการเล่าถึงที่มาของตัวเด็กผู้ชายที่ชื่อ ปีเตอร์ซึ่งเป็นเด็กกำพร้าอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็ก ณ กรุงลอนดอน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เด็ก ยังไงก็คือเด็ก ในหนังเราจะเห็นได้เลยว่า ตัวของปีเตอร์ ถ้าเทียบกับเด็กทั่วๆไปแล้ว เราจะเรียกเด็กประเภทนี้ว่า เด็กแสบหรือง่ายๆ ไอ้เด็กเกรียนนั่นล่ะ เป็นพวกช่างสงสัย นอกกรอบ และความที่มันเป็นเด็กแสบแบบนี้นี่เอง จึงทำให้เราได้รู้ว่า เด็กคนนี้มันไม่ใช่เด็กธรรมดา และความไม่ธรรมดามันนำไปสู่เนื้อเรื่องราวที่เชื่อมโยงต่อไปได้ ความช่างสงสัย ความสอดรู้ นำไปสู่การค้นพบอะไรใหม่ๆที่ทำให้ชีวิตของปีเตอร์เปลี่ยนไปในคืนหนึ่ง และนำไปสู่ดินแดนที่ชื่อว่า

“NEVER LAND”

            ขอยกย่องอีกหนึ่งอย่างในหนังเรื่องนี้ คือเส้นทางก่อนไปสู่ดินแดน Never Land เป็นอะไรที่เหมาะกับวาทะที่ว่า ผจญภัยเหนือจินตนาการ มากเลย มันต่างจากที่เราเคยคิด ที่เราเคยดู! แบบว่า เห้ย! สุดยอดเลยน่ะ และนี่คือ ภาพปลากรอบ เครดิตภาพงามๆอยู่ใต้ภาพแล้วค่ะนายทั่น ;_;

credit : wastinghours from tumblr
สำหรับเรื่องนี้แล้ว ขอให้คะแนน 8/10 คั๊บป๋ม! ขอตัดไปสองคะแนน คือหนึ่ง ในส่วนของการตัดต่อ และสองในส่วนของเนื้อเรื่อง ส่วนตัวคิดว่าเนื้อเรื่องยังเหมือนขาดอะไรไปอยู่ เหมือนจะสุดแต่ก็ยังไม่สุด มันเหมือนน๊อตที่ยังไขไม่แน่น มันยังหลวมๆอยู่ ก็ยังไม่แน่ใจว่าผกก.เขาอยากให้เราอุดช่องว่างนั้นเองหรือเปล่า หรืออะไรเราก็ไม่แน่ใจ อะไรที่ทำให้ปีเตอร์แพนบินได้ ความเชื่อแบบที่ไทเกอร์ลิลลี่บอกงั้นหรอ หรือเพราะประโยคที่ว่า ‘Think a happy thought!’ ที่แบล็คเบียร์ดกล่าวไว้ ที่คิดว่าประโยคนี้มีส่วนเกี่ยวนั้นขออ้างอิงจากประโยคด้านบนของเอ็นทรี่นี้เลย ‘Just think of happy things, and your heart will fly on wings, forever, in Never Never Land!’ อ่าห๊ะ! คิดถึงสิ่งที่เราสุขใจไงเล่า ก็เลยสงสัยอยู่สองประเด็นนี้ว่า สรุปบินได้เพราะอะไร ความเชื่อในตัวเอง หรือ คิดถึงสิ่งที่เราสุขใจ อืมมมมมมมมมมใครรู้เฉลยให้หายสงสัยทีค่ะ ฮ่าๆๆ

โอเค ขอจบเอ็นทรี่นี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ ได้โอกาสฤทธิ์งามยามดีนานๆทีจะมาอัพ ฮ่า
ไว้เจอกันเอ็นทรี่หน้าค่ะ /กราบบบบบบบบบบบบบ



ปล. ไม่ได้พูดถึงฮุคเลย เราชอบการ์เรตเฮดลันด์เล่นมากเลย ฮีกวนประสาทดี เยิฟ <3 แล้วเรายังชอบคำพูดขอฮุค ที่บอกว่า การโกหกเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่เราเลยคิดว่าประโยคนี้อาจจะเป็นตัวบัลดาลให้ปีเตอร์ไม่อยากโตเป็นผู้ใหญ่ และติดอยู่ในเนเวอร์แลนด์ตลอดกาลก็ได้ ฮุวะฮ่าฮ่า!

ไปจริงๆล่ะ บัย :)

วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2558

You not lost in Penang. (?)

You not lost in Penang because Penang is small.
- Mr. Azril Ali

            วาทะนี้ถือว่าเด็ดดวงมากสำหรับต่างด้าวทั้งสิบคนในเกาะเล็กๆ(?)อย่างปีนัง ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่าที่มาปีนังได้นี่เพราะได้ทุนจากทางมหาลัยมาเรียนภาษาอังกฤษที่ Universiti Sains Malaysia แต่คิดไปคิดว่า สรุปคือมาเรียนอังกฤษหรือมาลายูกันแน่ เพราะรู้สึกมาได้อาทิตย์เดียวจะได้ศัพท์มาลายูมาเป็นสิบๆคำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้พูดอังกฤษเยอะขึ้นนะ ถือว่าได้อยู่ เยสโนโอเคแทงกิ้วเฮลโหลลลล yeah!

            สำหรับอาทิตย์แรกที่มาเรียน แน่นอนว่าต้องมี Pre-Test คะแนนนี่ไม่รู้หรอก แต่ที่รู้ๆคือน้องเขียนเอสเสบ่ทันเด้อ สามสิบนาทีลบแล้วเขียนใหม่สองรอบ เขียนทันได้ก็อัจฉริยะข้ามเวลาแล้ว ฮ่าๆ แต่น้องก็บ่วอรี่อะไรค่ะ เพราะนี่คือพรีเทส ไว้โพสเทสเราจะพยายามอย่างสุดความสามารถเลย คอยดูๆ สำหรับเรื่องเรียนอาทิตย์แรกนี่เบสิคอิงลิชมากๆ พลิกดูหนังสือ อืมหืมมม...เลเวลหนึ่ง รู้สึกถึงการย้อนกลับไปเรียนมัธยมใหม่ แต่อย่าถามเรื่องแกรมม่าค่ะ ยังฉลาดน้อยเหมือนเดิม แต่พอเข้าอาทิตย์ที่สองเท่านั้นล่ะ บร่ะ! วันแรกก็ถึงกับพรีเซ้นท์เลยทีเดียว โอเอ็มจี.น้องไม่ทันได้เตรียมตัว ถึงกับแอมฟอเก้ท!หน้าห้องเลยทีเดียว ฮ่าๆ ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ก็แล้วกัน J

            เรื่องเรียนนี่เอาไว้ก่อน ขอมาเล่าถึงเรื่องเที่ยวบ้างดีกว่า สถานที่แรกที่ได้ออกไปเบิ่งลูกตาก็คือ Queensbay Mall เอาจริงๆก็เหมือนห้างทั่วๆไปอย่างเซ็นทรัลบ้านเรานั่นล่ะแต่อาจจะกว้างกว่า มีแบนด์ดังๆเยอะกว่าก็เท่านั้น ถามว่าราคาเป็นยังไง นี่ก็คงตอบได้ว่าบางอย่างก็ถูกกว่า บางอย่างก็แพงกว่า แต่ที่แน่ๆH&Mกลับไปซื้อที่ไทยเถอะ (ยกเว้นรองเท้านะ ถูกกว่าร้อยหนึ่งเลยทีเดียว) นอกจากนี้แล้ว สเปเชี่ยลสุดๆก็คงต้องเป็นอาหารค่ะ ที่นี่มีอาหารอินเดียเยอะมาก ซึ่งไม่ถูกปากนี่ซักกะอย่าง วันๆกินได้ก็คงเป็นข้าวผัดไก่นี่ล่ะ ข้าวราดแกงแบบบ้านเราก็มีนะ แต่ที่นี่พิเศษตรงที่ว่าให้ตักเอง กินเยอะก็ราคาแพง กินน้อยก็ราคาถูกลงมาหน่อย แต่บางวันนี่ราคาก็คงขึ้นอยู่กับอารมณ์คนขายด้วยล่ะมั้ง เดี๋ยวเยอะถูก น้อยแพงบ้างก็มี ตามไม่ทันเหมือนกัน เอิ๊กกกกก...

            นอกจากนี้ต้องบอกว่าห้างที่ปีนังคล้ายๆกันหมดจริงๆ ถ้าให้เทียบกันคงบอกได้ว่า Queensbay, Gurney Paragon, Gurney Plaza ห้างพวกนี้จะอยู่ในระดับที่ว่าผู้มีกะตังก็จะเข้าไปเดินช๊อปชิวๆ เสมือนไฮโซบ้านเราที่เดินพาราก้อน เซ็นเวิร์ด อิมโพเรี่ยมอะไรประมาณนี้ ถ้าห้างระดับกลางๆลงมาหน่อยก็คงเป็น Pragin Mall ห้างนี้ตั้งอยู่ตรง Komtar ซึ่งข้างล่างจะเป็นสถานีรถ รถทุกสายจะมาอยู่รวมกันตรงนี้ ใครจะขึ้นรถสายไหนก็มาเปลี่ยนตรงนี้ได้ ส่วนตัวห้างนั้นมีของแบรนด์เหมือนกัน แต่จะเป็นแบรนด์ระดับกลางๆอย่าง H&M Forever21 บลาๆๆ แต่ถ้าถามถึงห้างแบบซุปเปอร์มาเก็ตที่นี่ก็มีเหมือนกัน ที่นี่มี TESCO แต่ไม่โลตัส เป็นเทสโก้เฉยๆ ของคล้ายๆบ้านเราค่ะ ไม่มีอะไรพิเศษ ถ้ามีพิเศษก็คงราคาค่ะ แพงกว่าบ้านเราเป็นโขเลย55555555555555

ห้างนี่ไม่ค่อยสันทัตเท่าไหร่ กลับกรุงเทพฯไปเราก็เดินได้ ราคาก็ใกล้เคียงกัน เลยช่างมันเถอะ ไม่ใช่ขาช๊อปด้วยไงประเด็น เอิ๊กๆ แต่นี่ปลื้มที่เที่ยวสุดๆก็คงหนีไม่พ้น Street Art ย่าน George Town ค่ะ ชอบมากๆ เป็นเมืองเก่าที่ให้อารมณ์อาร์ตมาก ไม่ต้องตกแต่งเพิ่มเติมหรือเสริมมันลงไป มันพอดีกับความเก่าที่ไม่ต้องพยายามจะเก่า เพราะมันเก่าในแบบของมันเอง มันไม่ใช่อารมรณ์ที่มาขุดสระน้ำ แล้วบอกว่านี่คือตลาดน้ำ แต่ที่นี่คือเมืองเก่าที่เก่าจริงๆ ถามว่าชอบไหม ตอบเลยว่าชอบมาก แต่เสียดายจริงๆตรงที่ว่าได้เดินแค่ซอยเดียว แต่คิดไว้ว่าต้องมาอีกให้ได้ เพราะอยากเดินให้มากกว่านี้ อยากถ่ายรูปให้มากกว่านี้ ชอบเมืองนี้ๆจริงๆ ชอบมากๆ J นอกจากไปเดิน Street Art แล้วยังได้เดินไปที่ Chew Jetty แบบบังเอิญด้วย เนื่องจากข้ามถนนตามคนอื่นเขาไปเลยเดินไปเจอแบบบังเอิญ ที่นี่ไม่ค่อยมีอะไรค่ะ แต่โลเคชั่นสวย มีทะเล มีท่าเรือ อารมณ์เหมือนเดินตลาดน้ำเล็กๆในบ้านเรา มีคนพูดไทยได้เยอะเลย ส่วนมากเป็นคนจีนค่ะ ซึ่งผู้ชายจีนที่นี่ก็หน้าตาดีซะด้วย ยอมใจเลยจริงๆ55555555555555




            พอเข้าอาทิตย์ที่สอง ได้ไปที่หาดบาตูเฟอร์ริงกิ (Batu Ferrigi) ซึ่งอยู่ทางเหนือของเกาะปีนัง ถามถึงเรื่องความน่าเล่นน้ำนี่คงตอบได้ว่าทะเลไทยทางใต้สวยกว่า น่าเล่นกว่า ที่นี่เฉยๆกับทะเลมาก ไม่ได้น่าเล่นอย่างที่วาดฝันเอาไว้เลย แต่ถามเรื่องโลเคชั่นความสวยงามก็ให้คะแนนเยอะอยู่นะ ด้วยความที่เป็นเกาะด้วยล่ะมั้งเลยยังมีเสน่ห์ให้น่าไปเที่ยว แต่เรื่องแปลกมากๆสำหรับเกาะนี้ก็คือ ทั้งๆที่อยู่ใกล้ทะเล แต่อาหารทะเลนี่แพงมาก แพงกว่าเนื้อสัตว์อื่นๆเลย น่าตกใจและประหลาดใจมากเลยทีเดียว (= =;)


สำหรับการมาที่นี่สิ่งที่จดจำได้ไม่มีวันลืม คงจะต้องอ้างอิงไปถึงประโยคแรกที่ขึ้นไว้ในตอนต้นของเอ็นทรี่นี้คือ You not lost in Penang because Penang is small.”  ปีนังมันเล็กคุณไม่หลงในปีนังอย่างแน่นอน แต่คงต้องลบล้างวาทกรรมนี้แล้วล่ะค่ะ เพราะเกรี่ยงทั้งสิบได้หลงเป็นที่เรียบร้อย หลงแบบสองวันติด 

จะไปต่อรถที่คอมต้าแต่ดันไปโผล่ที่บาตูเฟอร์ริงกิ Hey! Are you crazy! แม่งบ้าไปแล้ว! แต่ก็นะ ถือเป็นเรื่องราวดีๆ(หร๊า...)อีกหนึ่งเรื่องล่ะกัน5555555555555555 ถึงอย่างนั้นเรื่องทุกเรื่องมันมักจะเป็นบทเรียนคอยสอนเราเสมอนั่นล่ะ อย่างน้อยมันก็ยังทำให้เรารู้ว่า

If you lost in Penang, you still in Penang. 
นะจร๊ะ เพราะปีนังเป็นเกาะค่ะ ถ้านั่งรถเมล์ออกนอกปีนังไปก็อะเมซิ่งมาเลเซียแล้วเว้ยเห้ย! (=v=)

ตอนนี้เหลือเวลาอีกสองอาทิตย์ที่ต้องอยู่ปีนังค่ะ หลังจากนี้ก็คงต้องกลับไทยแล้ว จริงๆก็ไม่อยากกลับเลยนะ เพราะงานที่มอล้วนๆเลยทำให้ไม่อยากกลับ อีกอย่างรู้สึกอยู่ที่นี่ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ได้เปิดโลกกว้างมากขึ้น เรารู้เลยว่าอยู่ที่นี่เรากลายเป็นคนที่แทบไม่รู้อะไรเลย มีสิ่งที่ให้เรียนรู้อีกมาก ดังนั้นแล้วอย่าทะนงตัวกันเลยว่าตัวเองเก่ง อยู่ในมหาลัยคุณอาจจะเป็นนางพญา แต่ออกมาจากที่นั่นคุณอาจจะกลายเป็นแค่มดตัวเล็กๆก็เป็นไปได้ โลกนี้มีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะ พยายามเปิดหูรับฟัง เปิดตารับดู อย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่เห็น อย่าเพิ่งหลงงมงายในสิ่งที่อ่าน ลองค้นหาความจริง แล้วเราจะรับรู้อะไรที่มันมากกว่าสิ่งที่เป็นsurfaceแน่นอนค่ะ J

แต่ถามว่าคิดถึงไทยไหม ก็คงตอบว่าคิดถึงนะ คิดถึงมะม๊า คิดถึงปะป๊า คิดถึงเจ๊ คิดถึงโมโจกับบุญมา คิดถึงมากสุดๆก็คงเป็นอาหาร กินอะไรก็ไม่อร่อยเท่าอาหารที่ไทยแล้วจริงๆ น้ำพริกปลาทูบ้านเราน่ะ อร่อยที่สุดแล้วจริงๆ J

แต่ยังไงก็อีกสองอาทิตย์เจอกันนะไทยแลนด์ <3


PS. เมื่อวานเราตกโพรงต้นไม้ที่ TESCO ล่ะ รู้สึกอายเพื่อนมาก อรั่ยยยย (TvT)


วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Fifty Shades of Grey♡

“Does this mean you’re going to make love to me tonight, Christian?”
                                                                                    -- Anastasia Steele

“No, Anastasia it doesn’t. Firstly, I don’t make love. I fuck… hard
                                                                                  -- Christian Grey


                                                                                              (credit ; aymaniac)
  

ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า สำหรับFifty Shade of Greyนี้ ถือเป็นหนังที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้
อย่างแรกแน่นอน เซ็กซ์ อย่างที่สอง มิสเตอร์เกรย์ อย่างที่สาม มิสสตีล และสี่ เชือก แซ่ โซ่ กุญแจมือ ฮ่าๆ!
หลายคนอาจคิดว่า อะไรเนี่ย! เรื่องนี้นี่มันหนังโรคจิต กามวิปริต จิตวิตถารหรือไงฟร่ะ!
อ่ะ งั้นจะขออ้างสิ่งเหล่านี้ตามแบบฉบับของอีแอลเจมส์ หรือผู้แต่งเรื่องนี้ในกล่าวเป็นนัยว่า

การมีเซ็กซ์ในลักษณะเช่นนี้เป็นเรื่องของรสนิยม

แต่ถึงอีแอลเจมส์จะกล่าวในลักษณะเช่นนี้ก็เถอะ เรื่องอย่างนี้ก็ต้องมีกระทบกันจิตใจบ้าง ดังนั้นแล้ว...
มันจึงเป็นฟิฟตี้เชดไง พระเอกมีเรื่องราวในอดีตที่น่าเจ็บปวด ส่วนนางเอกก็ตกหลุมรักกับคนที่ไม่(อยาก)รัก
กลับกลายดูเป็นว่ามิสเตอร์เกรย์ยังฉงนกับตัวเองเลยว่าจะรักนางเอกได้อย่างไร เพราะตัวเองมีมุดมืดขนาดนี้
เรื่องนี้จึงน่าติดตามตรงเบื้องหลังชีวิตของมิสเตอร์เกรย์นี่เอง

ซึ่งหากให้เทียบระหว่างตัวของนิยาย กับตัวของหนังนั้น ปกติจะต้องตอบว่าตัวของนิยายแน่นอน
แต่ในกรณีเรื่องนี้ขอยกเว้นไว้ละกัน ชอบหนังมากกว่าหนังสือค่ะ เพราะอะไร ขอแบบง่ายๆละกัน ไม่ฟุ้งเฟ้อดี
ช่วงแรกดำเนินเรื่องดีนะ คือชอบ! แต่ต้องติตรงช่วงท้ายเรื่องนิดนึงว่า ยืดและฟุ้งเฟ้อ ตามแบบฉบับของนิยายเลย
แต่ก็ไม่ได้แย่อีกนั่นล่ะ ยิ่งในช่วงตอนจบของเรื่อง บอกเลยว่าโดนใจ!
บางคนบอกว่าจบแย่มาก ค้างคาสุดๆ แต่สำหรับเรา เราบอกเลยว่าชอบค่ะ นี่ล่ะคือส่วนที่น่าติดตามในภาคต่อ!

นอกจากนี้แล้ว สิ่งหนึ่งที่ยังเป็นตัวดึงดูดของหนังเรื่องนี้ คงหนีไม่พ้นดีกรีที่แมทกันระหว่างคู่พระนาง
โอ้มายก็อด! เจมี่ ดอร์แนน กับดาโกตาร์ จอห์นสัน ให้อารมณ์เหมือนพระนางหลุดมาจากนิยายจริงๆ
มิสเตอร์เกรย์ก็ฮอตเหลือล้น ส่วนมิสสตีลก็ดื้อได้น่าตีเหลือเกิน  กล่าวได้เลยว่า นักแสดงนี่ล่ะที่ทำให้หนังเรื่องนี้น่าดูมากยิ่งขึ้น โอ้เย้!

สำหรับเรื่องนี้ขอให้คะแนนแบบคอนิยายอยู่ที่ 8 / 10 ส่วนให้ตามเนื้อแบบดูหนังทั่วไปให้ 6 / 10 ค่ะ
แม้หลายๆที่ จะให้คะแนนเรื่องนี้ต่ำแบบติดดิน แบบแทบไม่ผุดไม่เกิดกันเลยทีเดียว
แต่สำหรับเรา เราว่าหนังมันไม่ได้แย่ขนาดนั้น มันอยู่ที่ตัวของแต่ละคนที่จะชอบเสียมากกว่า
ส่วนตัวก็ไม่ได้ชอบหนังแนวนี้หรอก แต่เพราะเป็นพวกที่ชอบอ่านนิยายไปเรื่อย แล้วดั๊นไปอ่านเรื่องนี้เข้า
มันก็เลยรู้สึกถึงพลังแห่งความโรแมนซ์ผสมกับรสนิยมอันแปลกประหลาดของมิสเตอร์เกรย์ ฮ่าๆ

โอเค ! วันนี้ลากันไปเท่านี้ล่ะ บ๊ายบาย :)


วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2558

The Imitation Game♡

“Sometimes it is the people who no one imagines
anything of who do the things that no one can imagine.”
The Imitation Game

"บางครั้งคนที่เราคาดไม่ถึงก็สามารถทำในสิ่งที่คาดไม่ถึงได้เช่นกัน"

 

เพียงเวลาแค่หนึ่งชั่วโมงห้าสิบสี่นาทีกับ เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบทช์ที่ทำให้น้ำตาไหลลงมาได้ถึงห้าครั้ง
ในบทของ อลัน ทัวริ่งกับการแสดงที่ดีแบบไม่เกินคาด เพราะสิ่งที่คาดหวังไว้กับตัวของป๋าเบนนั้นมันอยู่
ในระดับของ ดี ดีมาก และดีโคตรๆอยู่แล้ว!

ซึ่งในตอนแรกนั้น เคยคิดไว้ว่าภาพยนตร์เชิงชีวประวัติแบบนี้มันคงน่าเบื่อแน่ๆ แต่ถึงตอนนั้นก็คิดว่าคงต้องดู
เพราะป๋าเบนเล่น แต่หลังจากที่รอบ Sneak Preview ได้เริ่มฉาย จากการอ่านในแฮชแท็ก #movietwit และ
การอ่านรีวิว/สปอยในพันทิป ทำให้รู้สึกว่า ไม่ใช่แค่ตัวนักแสดงแล้วล่ะที่น่าติดตาม แต่เนื้อหานั้นก็น่าติดตามเช่นกัน

The Imitation Game เป็นเรื่องราวของนักคณิตศาสตร์ ที่ชื่อว่า อลัน ทัวริ่ง ที่ต้องถอดรหัสจากเครื่องอีนิคม่า
และตัวของอลันนั้นก็ได้สร้างเครื่อง “Enigma-code-cracking machine” และเรียกมันว่า คริสโตเฟอร์

ในหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เล่าเรื่องภายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หากคาดหวังว่าหนังเรื่องนี้ต้องถือปีนยิงกันละก็
คิดผิดโดยสิ้นเชิง เฉกเช่นดังที่ในหนังอลันทัวริ่งได้พูดเอาไว้ว่า

มนุษย์ชอบความรุนแรง เพราะความรุนแรงมันทำให้รู้สึกดี
แต่หากตัดความรู้สึกนั้นไป ก็เหลือเพียงแต่การกระทำอันกลวงๆ

ไม่ต้องมีฉากรบกันเพื่อความคุกกรุ่นในอารมณ์ หากแต่เป็นเพียงการนำเสนอที่ใช้สมองต่อสู้กับเวลา
ในหนึ่งนาทีของช่วงสงครามใครจะรู้ว่าต้องมีการสูญเสียไปมากเท่าใด
อลันทัวริ่งได้ทำให้เห็นว่า ความรุนแรงไม่ใช่สิ่งเดียวที่ยุติสงครามได้ แต่การใช้มันสมองต่างหากที่ทำให้
ความสูญเสียนั้นน้อยลง

ในหนังเรื่องนี้นั้นนอกจากประเด็นในเรื่องของสงคราม สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือประเด็นในเรื่องของ Sexuality
เนื่องจากว่าอลันทัวริ่งนั้นเป็น homosexual หรือ พวกรักร่วมเพศนั้นเอง แต่ซึ่งในสมัยนั้น เรื่องของรักร่วมเพศ
ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องในทางกฎหมาย อลันทัวริ่งจึงโดนข้อหาอาชญากรรมหลังจากจบสงครามโลก
แม้ในหนังจะปลุกอารมณ์ในประเด็นนี้ได้ไม่สุดเท่าที่ควร แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกว่ามันหดหู่มากคงเพราะอลันทัวริ่ง
นั้นได้เลือกรับโทษโดนการฉีดฮอร์โมนเข้าร่างกายตัวเอง(ทำให้ตัวเองเป็นหมัน) แทนที่จะจำคุกในเวลาสองปี
ด้วยเหตุที่ว่า ตัวของอลันนั้นรู้สึกโดดเดี่ยวหากต้องใช้เวลาในคุกถึงสองปี และเกรงกลัวต่อการสูญเสียคริสโตเฟอร์
และ อลัน ทัวริ่งได้เสียชีวิตโดยการปลิดชีพตัวเอง ในวัย 41 ปีเพียงเท่านั้น

หลังจากดูเรื่องนี้จบ บอกเลยว่าขอออสก้าให้ป๋าเบนเถอะนะ!
เป็นหนังที่เข้าถึงทุกอารมณ์ มันทั้งดราม่าหนัก คอมมาดี้เล็กๆ ที่ปะปนกันทำให้หนังเรื่องนี้มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
หากถามว่าให้คะแนนในหนังเรื่องนี้เท่าใด บอกเลยว่า 9.5 / 10 หักจุดห้าไปเนื่องจากซีจีในเรื่องอย่างเดียวเท่านั้น
คาดว่าอาทิตย์หน้า หากมีเวลาต้องได้ดูเรื่องนี้อีกรอบอย่างแน่นอน ( (´ω`))


PS --  ก่อนเขียนเอ็นทรี่นี้ ได้เข้าไปอ่านบทความ The Imitation Game:inventing a new slander to insult Alan Turing มา ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบประวัติศาสตร์จริง กับตัวเรื่องในหนัง ซึ่งน่าสนใจมากๆ ลองคลิกเข้าไปอ่านดูได้!